วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 2/23 (2)


พระอาจารย์
2/23 (530821D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
21 สิงหาคม 2553
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 2/23  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  (ถามโยม) ยังไง ขึ้นไปอยู่ถ้ำแล้วเป็นไง วันนึง สองวัน

โยม –  ก็รู้สึกว่าดีขึ้นกว่าวันที่มาหาหลวงพ่อเจ้าค่ะ รู้สึกว่ามันก็รู้ตัวได้ดีขึ้นน่ะค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่ามันรู้จริงๆ หรือว่าคิดว่ารู้ อะไรอย่างนี้ค่ะ

พระอาจารย์ –  อือ ดูไปเรื่อยๆ ให้มันชัดเจน มันจะเข้าใจขึ้นมาทีละน้อย ไม่ต้องสงสัย


โยม –  หนูรู้สึกว่าจะติดสงสัยมากเลยค่ะ 

พระอาจารย์ –  ให้รู้ทันสงสัย


โยม  บางทีก็ทัน บางทีก็ไม่ทันค่ะ

พระอาจารย์ –  ตัวสงสัยน่ะจะทำให้เกิดความไม่ชัดเจน ...แค่รู้ไปโง่ๆ น่ะ รู้ไปเหอะ  จะใช่-ไม่ใช่ ช่างมัน รู้เข้าไป แล้วมันจะเกิดความชัดเจนในตัวของมันเอง ...เมื่อชัดเจนขึ้นเมื่อไหร่ มันจะหายสงสัย 

แต่ไม่ใช่ไปทำให้หายสงสัย อย่าไปหาความเป็นจริงว่าอันนี้ใช่หรือไม่ใช่ ...แก้ไม่ได้ แก้สงสัยไม่ได้

รู้ไปเรื่อยๆ อดทน...อดทนที่จะไม่ไปหาความจริง หาความถูกความผิดอะไรกับมัน  แล้วมันจะเกิดความชัดเจนในการรู้เห็นบ่อยๆ ...มันจะ "อ๋อ" ขึ้นมา

เมื่อเรารู้บ่อยๆ นี่ ความปรุงความแต่ง มันจะไม่ต่อเนื่อง ความคิดมันจะไม่ต่อเนื่อง ในลักษณะแรกๆ น่ะนะ มันก็จะดับไปก่อน

แล้วมันก็จะหยุดคิดไปเอง ...แต่ว่าการดับไปในครั้งแรกๆ นี่ ลักษณะนี้มันจะดับไปพร้อมกัน ระหว่างขันธ์กับอุปาทานขันธ์


โยม –  คือยังไงหรือเจ้าคะ   

พระอาจารย์ –  เนี่ย เห็นมั้ย ไม่อยากพูดก่อนเลย (หัวเราะกัน) 

แล้วมันจะค่อยๆ พัฒนาขึ้นไปอีกในระดับของมันเอง ...ต่อไปไม่ใช่ว่ารู้แล้วต้องดับ ต่อไปแค่รู้ แล้วมันจะดับแค่อุปาทานขันธ์...แต่ขันธ์ไม่ดับ อย่างเนี้ย

แต่แรกๆ พอเราเริ่มรู้นี่ พอรู้ความคิดปุ๊บ... ความคิดจะดับ พอไม่รู้...ความคิดจะเกิด พอรู้แล้วก็ดับ...รู้แล้วก็ดับ ...คือมันจะดับขันธ์พร้อมกันด้วย ขันธ์ดับไปพร้อมด้วยอุปาทาน

เพราะนั้นทุกข์ตอนนี้ก็ยังไม่เกิดมากเหมือนกัน แต่ว่าในขณะเดียวกันขันธ์มันก็ดับไปด้วย

แล้วคราวนี้พอสติมันก็จะเริ่มถอยออกมามากขึ้น คือรู้เบากว่านั้นอีก  สติก็จะเป็นกลางมากขึ้น ไม่มีการเข้าไปจงใจ ไม่มีการเข้าไปเจตนา จะไม่มีการเข้าไปกำหนดรู้

เพราะฉะนั้นมันจะรู้เบาๆ รู้แบบแตะๆ ...พอรู้แบบแตะๆ ปุ๊บ ความคิดยังมี...ไม่ดับ  แต่ไม่ไปทุกข์กับความคิด อย่างนี้ จะเริ่มแยกออกระหว่างทุกขสัจกับทุกขอุปาทาน

เพราะนั้นจะคิดก็ได้ ไม่คิดก็ได้ คิดก็ได้ก็ไม่ทุกข์ ไม่เดือดร้อนกับความคิด ...แต่ตอนนี้ไม่ได้ ...ถ้าคิดแล้วเดือดร้อน อย่างเนี้ย  พอรู้ปุ๊บ...ดับปุ๊บ สบายใจดี 

เพราะนั้นให้มันเป็นการเรียนรู้ไป แล้วสติมันจะถอยออกมากขึ้น จากที่ว่ารู้แล้วดับพั้บ...ก็ไม่ดับ จะไม่ค่อยดับหรอก จะรู้แบบแตะๆ เบาๆ รู้แบบหยั่งๆ ทุกอย่างยังมีอยู่ แต่มีแบบเบาๆ ...ก็รู้ไป ไม่ต้องสงสัย


โยม –  จริงแล้ว หลังจากไอ้ตอนที่มันดับปุ๊บ ต่อจากนั้นจะเป็นอุปาทานต่อเลยใช่มั้ย

พระอาจารย์ –  อือ มันเป็นผล ...แล้วเกิดเป็นความพอใจหรืออติมานะ เกิดเป็นความเห็น ความเชื่อความเห็นขึ้นมา ของการกระทำ

เพราะนั้นพอดูไปเรื่อยๆ ปั๊บเนี่ย มันจะเข้าไปยึดโดยไม่รู้ตัว ...พอยึดไม่รู้ตัวนี่คือ...ดูแล้วต้องดับ ถ้าไม่ดับแล้วทุกข์เลย ...เนี่ย มันเป็นอย่างนี้

เพราะนั้นหมายความว่าสติมันมีโลภะแฝงอยู่ในการรู้ ในการระลึกรู้ตรงนั้น ...ไอ้ความจงใจหรือเจตนานั่นแหละประกอบด้วยโลภะ เข้าไปตั้งเป้าหมายไว้ลึกๆ ...แต่เราไม่เห็นว่ามันตั้งเป้าเอาไว้

จนสติที่เป็นกลางจริงๆ น่ะ คือรู้เห็นๆ ทุกอย่างยังมีอยู่เลย มีอยู่อย่างนั้น ...แต่มีในแง่ที่ว่าห่างๆ มันห่าง ไม่ได้รู้แบบแนบ ...ถ้าแนบติดกันน่ะ เผลอปุ๊บมันก็โดดงับปั๊บเลย  
  

โยม  อันนี้จะมีผลกับการรู้สึกกายอะไรอย่างนี้ด้วยไหมครับ มันจะรู้สึกตัวว่างๆ เบา ก็คือเหมือนกับไม่มีความรู้สึก

พระอาจารย์ –  ไม่หรอก  เพราะว่าความรู้สึกทางกายมันก็เป็นเวทนาอย่างหนึ่ง...เป็นกายวิญญาณ


โยม –  อาจารย์ครับ ทุกอย่างยังมีอยู่ แต่ว่าอยู่ห่างๆ นี่มัน ... โยมฟังแล้วบางทีเหมือนจะแอบไปสร้างให้มันห่างๆ เหมือนจะทำขึ้นมาอย่างนี้น่ะครับ  

พระอาจารย์ –  ไม่เป็นไรหรอก มันก็รู้ว่าอันนี้ทำขึ้น  อันนี้แกล้ง อันนี้จริงๆ ...มันจะไปแยกความชัดเจนออก
    

โยม –  ตอนที่รู้กายนี่คือ รู้ว่ากายทำอะไรอย่างนี้ หนูคิดว่าหนูถลำลงไปอยู่กับกายรึเปล่า ไม่รู้ว่านี่เป็นการรู้หรือว่าถลำไปอยู่กับกายแล้วน่ะค่ะ ไม่รู้ว่าจะดูได้ยังไง 

เพราะกายนี้เหมือนเราก็จะรู้ได้ตลอดเวลาทำยังงี้ๆ น่ะค่ะ คือเหมือนดูแล้วมันไม่ดับเหมือนจิต ถ้าเกิดเราคิดเรารู้ว่าคิด มันก็ความคิดต่อไปมันหลงมาเราก็รู้มันอีก ...แต่ว่ากายเหมือนกับเรารู้ไปช่วงนึง 

พระอาจารย์ –  ต่อเนื่อง เห็นกายต่อเนื่องใช่มั้ย   


โยม  ค่ะ อันนี้คือถลำลงไปติดรึเปล่า

พระอาจารย์ –  ไม่ได้ถลำ มันเป็นปกติอย่างนั้นแหละ เห็นกายเป็นปกติก็เป็นอย่างนั้น มันไม่ดับไปหรอก ...กายมันก็ต่อเนื่องไปอย่างนั้นแหละ ก็เห็นอย่างนั้นแหละ เห็นไปอย่างนั้น


โยม –  แล้วเวลาฟัง ความรู้มันก็เหมือนรู้จิตมันชั่วแวบเดียวแค่นั้นน่ะค่ะ แต่พอรู้กายเหมือนกับว่ามันต่อเนื่อง   

พระอาจารย์ –  เออ ดีแล้ว ให้รู้อย่างนั้นแหละ   


โยม –  มันก็รู้เหมือนกัน

พระอาจารย์ –  อือ 


โยม  แล้วถ้ามันไปถลำจะรู้ได้ยังไง
  
พระอาจารย์ –  ไม่ถลำ ...ถ้าถลำเข้าไปนะ มันจะไม่มีอารมณ์ มันจะไม่รับรู้อาการของความหงุดหงิดรำคาญ ความไม่สบายใจ ความกังวล ความกลัว ความวิตก ...มีมั้ย เห็นมั้ย มีอยู่รึเปล่า


โยม –  ก็มีค่ะ 

พระอาจารย์ –  เออ ถ้ามันมีแปลว่ามันไม่ได้เข้าไปเพ่งกายไว้ ...ถ้าเข้าไปเพ่งนี่ อายตนะทั้งหมด การรับรู้ทางผัสสะอารมณ์ อะไรต่างๆ มันจะไม่เกิดเลย มันจะนิ่ง จะเฉย

แต่ถ้าเรารู้เราเห็นอยู่  ใครพูดอะไรมา ได้ยินอะไรก็ยังหงุดหงิดรำคาญเงี้ย เข้าใจมั้ย...เออ แปลว่าไม่ถลำเข้าไปแล้ว ...ให้รู้อย่างนั้น

แล้วพอมีอะไรกระทบปุ๊บ แล้วมันมีอาการดีดตัวออกไปรับเป็นอารมณ์เกิดขึ้น นั่นแหละ มันไม่ถลำ เพราะมันยังเปิดรับรู้อารมณ์ตามอายตนะได้

แต่ถ้าเข้าไปเพ่งกายเมื่อไหร่ เหมือนเราจดจ่ออยู่กับลมหายใจอย่างนี้ อายตนะอื่นไม่ต้องพูดเลยนะ เข้าใจมั้ย ...เคยกำหนดลมมั้ย ชอบกำหนดลมรึเปล่า 


โยม –  ไม่รู้ชอบรึเปล่า แต่รู้สึกเหมือนมันติด มันกลับมาที่ลมเองน่ะค่ะ 

พระอาจารย์ –  นั่นน่ะ ถ้ากำหนดลมมากๆ นี่ มันจะไม่รับรู้ทางเสียงทางตาเลย  จะไม่มีอารมณ์ทางหู ทางตาเลย เข้าใจมั้ย

ถ้าเรารู้ลม กำหนดลมแบบจดจ่อไม่ให้ขาดอย่างนี้ การรับรู้อารมณ์ทางอายตนะอื่นไม่มี ...ถ้าอย่างนี้เพ่ง อย่างนี้ถลำเข้าไป ไปอยู่กับลมแล้ว

แต่ถ้ามารู้กายนี่ แล้วยังพร้อมที่จะมีอารมณ์ พร้อมที่จะโกรธ พร้อมที่จะดีใจ พร้อมที่จะกังวลอะไรอย่างนี้ แปลว่ามันเป็นกลาง มันเป็นอย่างนั้น...ไม่ถลำ

นั่น เป็นปกติของมัน เป็นปกติของขันธ์ ...ขันธ์ยังดำเนินได้ต่อเนื่อง ทั้งรูปขันธ์และนามขันธ์ ...ไม่ต้องกลัวเพ่ง ถ้ารู้กายอย่างนี้จะไม่เพ่ง


โยม –  แล้วหลวงพ่อคะ  ถ้าสมมุติว่าคุยกันอยู่ แล้วเหมือนกับ..ก็รับรู้ในสิ่งที่เขาพูดนะคะ แต่อยู่ๆ แล้วมันก็ไม่รู้น่ะค่ะว่าเขาพูดอะไร แล้วต้องถามเขาอย่างนั้น ...ถ้าอย่างนั้นยังรับรู้อยู่มั้ยคะ  

พระอาจารย์ –  รู้ ...แต่ว่ามันไม่ได้เข้าไปหมายมั่น ไม่ได้เข้าไปตั้งใจจะไปจำ หรือตั้งใจจะไปค้นหาอะไรกับมัน จะไปจริงจังอะไรกับมัน

จิตมันก็หลุดออกจากบัญญัติสมมุติไปโดยปริยายของมันเองน่ะ ...แต่เดี๋ยวสักพักมันก็กลับมา ...ไม่เป็นไร ดูอาการไป ไม่ดีไม่ร้ายอะไรหรอก

ให้มันเรียนรู้ไป ให้เข้าใจว่าการรับรู้ที่เราไม่รับรู้โดยบัญญัติหรือสมมุติ ทิ้งบัญญัติสมมุติเลยน่ะ มันจะไม่มีอะไรเหลือ ...แต่พอไม่มีอะไรเหลือแล้วมันจะสังคมกับคนอื่นไม่ได้ เข้าใจป่าว


โยม –  ค่ะ

พระอาจารย์ –  มันจะเป็นอย่างนั้น เพราะมันจะไม่ถลำไปทั้งสองข้าง จะไม่ถลำเข้าไปโลกุตระ และก็ไม่ได้เข้าไปโลกียะ

ทำยังไงถึงจะเป็นปกติท่ามกลางระหว่างโลกียะและโลกุตระ ...ตรงนั้นต่างหากต้องเรียนรู้

เพราะฉะนั้นเราจะต้องเห็นจิตที่มันหลุดไปทั้งโลกุตระและโลกียะ ไม่เข้าไปอยู่ในภพทั้งสองน่ะ...ภพที่ไม่มีไม่เป็น กับภพที่มีและเป็น ...เป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้นจิตก็เกิดอาการนี้ ...ต่อไปมันจะเรียนรู้เข้าใจ เกิดความเข้าใจมากขึ้นๆ ...เวลาทิ้งมันก็จะทิ้งแบบไม่เอาอะไรเลย มันจะทิ้งแบบไม่มีอะไรเหลือ ไม่ดับ ไม่ดับอย่างนั้น

แต่ว่าลักษณะนี้มันเข้าไปโดยเหตุปัจจัยของมัน มันไปทิ้งบัญญัติสมมุติเลย จิตมันไปทิ้งเลย ...ทิ้งเลยก็ไม่รู้เรื่องเลย ไม่รับรู้โดยบัญญัติหรือสมมุติ

เหมือนกับสัญญาก็ขาด สังขารก็ขาด ดับไป...ดับไปพร้อมกันหมด มันก็หายไปหมด อยู่ดีๆ ก็หายไป ...อย่างนั้นก็มี


โยม  ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็คือ ทำงานอยู่อย่างนี้น่ะค่ะ เวลาทำนู่นทำนี่ก็จะรู้ แต่ว่ามันก็จะมีตรงที่ว่าเวลาเขาพูดอะไรก็ได้ยินอย่างนี้

แต่ถ้าช่วงหนึ่งมันก็จะหายเงียบเลยอย่างเนี้ยค่ะ แล้วก็เหมือนกับจมดิ่งลงไปแล้วก็วูบขึ้นมาอีกทีอย่างนี้ ก็เลยไม่แน่ใจว่า เอ๊ะ มันยังไงกันแน่ หรือมันจะเป็นอย่างนี้ตลอด ใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  ไม่ต้องสงสัย มันมีอาการยังไงก็รู้มันเฉยๆ ...มันไม่ได้เป็นอย่างนี้ตลอดไปหรอก เดี๋ยวก็เปลี่ยน เปลี่ยนของมันไปเรื่อยๆ

บทที่จิตเขาจะรวม บทที่จิตเขาจะละ เขาจะดับ เขาจะตัดนี่ ควบคุมไม่ได้ ...เราไม่ได้ตั้งใจ ไม่มีเจตนาใช่มั้ย


โยม –  ค่ะ    

พระอาจารย์ –  เออ ก็รู้เป็นธรรมดา ปกติใช่มั้ย มันเป็นของมันเองใช่มั้ย  


โยม – ใช่ค่ะ   

พระอาจารย์ –  นั่น เรื่องของเขา อย่าไปเกี่ยว อย่าเอาสิ่งที่มันเกิดขึ้น เอามาสงสัยลังเล ...ไม่มีถูก-ไม่มีผิด ไม่มีว่าอะไร ไม่มีว่าต้องเป็นอย่างนั้นหรือไม่เป็นอย่างนี้

มันเป็นยังไงก็รู้ไปตรงๆ แค่นั้นเอง ไม่มีอะไรหรอก ...แล้วมันจะค่อยๆ ทำความแจ้งในเรื่องพวกนี้ ...สุดท้ายมันจะประมวลได้หมดเลย เมื่อมันย้อนกลับมา

เมื่อมันย้อนกลับมาถึงอาการนี้มันจะเข้าใจเลย มันเป็นอย่างนี้เพราะอะไร...เพื่ออะไร ...แต่ตอนนี้ยังไม่แจ้ง มันก็ยัง "เอ๊อะ...อ๊ะ" อย่างนี้อยู่ 

วางซะ วางความสงสัยลังเลซะ แค่นั้นเอง ...เป็นยังไงก็เป็นยังงั้น


(ต่อแทร็ก  2/23  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น