วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 2/33 (4)


พระอาจารย์
2/33 (530925B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
25 กันยายน 2553
(ช่วง 4)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 2/33  ช่วง 3

พระอาจารย์ –  แล้วสุดท้ายไอ้ใจที่ว่าตั้งมั่นโดดเด่นดูเหมือนเที่ยง ดูเหมือนไม่ดับไป ดูเหมือนมันเป็นอมตะ สุดท้ายเมื่อถึงวาระ มันไม่เหลือหรอก มันดับ

แต่ไม่ได้ดับในแง่ของไตรลักษณ์ ...แต่มันดับในแง่ของอนันตมหาสุญญตา หรือนิโรธ คือดับโดยสิ้นเชิงเลย

ไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป...เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป แล้วก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป นี่คือธรรมชาติของไตรลักษณ์ ...คือมันยังมีอาการวน ถึงดับแล้วก็ยังเกิดอีก เมื่อมีเหตุปัจจัยมารวมกันใหม่ 

แต่ถ้าใจที่เข้าสู่ไตรลักษณ์ในแง่ของนิโรธสมาบัติ หรือนิโรธที่เป็นผลจากการเจริญมรรคเต็มที่แล้ว ดับโดยสิ้นเชิง คือดับครั้งเดียว แล้วไม่กลับมาอีก ไม่กลับมาเลย หายไปเลย 

หายไปไหน หายไปอยู่ในอนันตมหาสุญญตา ...ไม่รู้อ่ะ ภาษาเขาจะเรียกนิพพานก็ได้ ภาษาจะเรียกอะไรก็ได้ แต่อย่างนี้คือการดับโดยสิ้นเชิง

การปฏิบัติคือเข้ามาสู่ตรงนี้ จุดนี้ แค่นั้นเอง ...จุดเริ่มต้นของการปฏิบัติเพื่อจะให้เห็นความหมายนี้ แยกกายกับใจออกจากกัน แยกอารมณ์ออกจากใจ แยกความรู้สึกออกจากใจ

แยกใจออกมาทุกปรากฏการณ์ ให้เป็น ให้ได้...บ่อยๆ ต่อเนื่อง ...ต้องอาศัยการบ่อยๆ นะ และต้องต่อเนื่องนะ มันจึงจะแยกออกโดยชัดเจน

ขี้เกียจ ทำวันละครั้ง สองครั้ง  รู้วันละครั้ง สองครั้ง เห็นวันละครั้ง สองครั้ง สามครั้ง...โอ วันนี้ตั้งสิบครั้ง...ไม่พอ ...แล้วยังบ่นว่าอาจารย์สอนผิด (หัวเราะกัน)

มันทำไม่ถึงอ่ะ เข้าใจมั้ย ...แยกออกๆ รู้อีกๆ รู้เข้าไปๆ ไม่ต้องกลัวโง่ ไม่ต้องกลัวว่ารู้มากแล้วจะไม่ได้อะไร จะเสียการเสียงาน ...มันไม่เสียหรอก จริงๆ น่ะ มันใช้ได้

รู้ไปเหอะ รู้เบาๆ รู้ง่ายๆ ...มันรู้ได้ตลอด รู้เข้าไป ...ไม่ใช่ไปลึกลับซับซ้อน 

แหมต้องไปตั้งกระบวนการรู้แหม ต้องทำอย่างนี้  วิธีจะรู้กูจะต้องแยกไปอยู่คนเดียวแล้วก็ กำลังเขียนหนังสือ...รู้  พอรู้แล้วต้องหนีออกเลยไปอยู่ในห้องน้ำหรืออะไร...ไม่ใช่ 

แล้วตัวรู้หรือตัวใจ ดวงจิตผู้รู้นี่ มันจะโดดเด่นขึ้นมา แล้วมันจะอยู่ได้ด้วยสติและสัมปชัญญะ ...มันจะเด่นเป็นสง่าอยู่อย่างนั้นน่ะ ทำอะไรก็มีรู้อยู่ภายในน่ะ อยู่อย่างนั้นน่ะ

แล้วคราวนี้ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมัน ให้มันอยู่ในอาการนี้แหละ ...นี่เขาเรียกว่าอยู่ในครรลองของมรรค นี่คือครรลองของมรรค...ถ้าอยู่อย่างนี้ได้แล้วนะ เรียกว่าเข้าไปตกครรลองของมรรคแล้ว 

แต่ระหว่างทำอยู่นี่ คือกำลังวิ่งเข้าสู่หนทางมรรค เรียกว่ามรรคเบื้องต้น คือการเจริญมรรคอยู่ กำลังกระทำอยู่

แต่เมื่อมันแยกกันชัดเจนเรื่องกายกับใจ อารมณ์กับใจ ทุกเรื่องมันจะสามารถแยกออกเลย ...แม้จะมีการเข้าไปออกมาบ้างก็ตาม แต่เราแยกออกได้อย่างนี้ ถือว่าอยู่ในครรลองของมรรค

ใครจะว่าถูกใครจะว่าผิด ช่างหัวมัน กูจะอยู่อย่างนี้ กูจะเห็นอย่างนี้ พอแล้วๆ  ไม่ต้องไปหาถูกกว่านี้แล้ว...ไม่มี ...พระพุทธเจ้าบอกแค่นี้แหละ เป็นกลางอยู่กับตรงนี้

แล้วอย่าไปยุ่งๆ อย่าไปทำอะไรให้มันดีกว่านี้ อย่าไปว่าไม่ให้อันนั้นมันเกิด ไม่ให้อันนี้เกิด นั่นเกิดไม่ได้ ...อย่าไปเลือกๆ เรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องของเรา

ไอ้ตัวที่เข้าไปเลือกนั่นแหละคืออัตตา ไอ้ตัวที่เข้าไปเลือกนั่นแหละคือสักกาย ไอ้ตัวที่เข้าไปเลือกนั่นแหละคือความวิจิกิจฉา ...พอรู้ปุ๊บ...ปล่อย ๆ ช่างหัวมันๆ ให้เป็นรู้ๆๆ ออกมา

มันจะละสักกาย วิจิกิจฉา สีลัพพตะในตัวของมันเอง ด้วยการรู้บ่อยๆ นี่แหละ ...ไม่ใช่ว่าต้องไปนั่งหาตัวว่านี่สักกายเหรอ จะได้ฆ่ามัน  ไอ้นี่วิจิกิจฉา แล้วจะได้ทำลายมัน...ไม่ใช่

รู้ตรงนี้แหละมันทำลายหมดทั้งสามตัว สังโยชน์ตัวร้อยรัดที่จะให้เข้าไปผูกกับอาการ ...นั่นแหละมันละในระหว่างรู้ออกมานั่นแหละ

รู้บ่อยๆ อย่าขี้เกียจ มันไม่ได้แบก มันไม่ได้หนัก มันไม่ได้ต้องไปหาม ...หูย เราอยู่วัดเราแบกปูนวันละยี่สิบกว่าลูกยังหนักกว่าอีก

การเจริญสติระลึกรู้น่ะมันไม่ได้แบกได้หามอะไรเลย ทำไมมันขี้เกียจกันนักกันหนา ...มันชอบเผลอ มันชอบจัง ไอ้เพลินไปกับความคิด ไอ้เพลินไปกับอดีต เพลินไปกับอนาคต

หรือเพลินไปกับเรื่องคนนั้นเรื่องคนนี้  อู๊ย พอจับวง...ผู้หญิงน่ะ คุยกันแจ๊ดๆๆๆ (หัวเราะกัน) ...ไม่รู้จักหยุดน่ะ ไม่รู้จักจบสิ้นเลยน่ะ ไม่รู้กายใจเลยในปัจจุบัน

เพราะนั้นต้องขยัน ต้องใส่ใจ ต้องมีศรัทธาในการที่ว่า...นี่ เกิดมาทั้งที มีชีวิตอยู่...มันไม่ได้ยาวไกลนะ แค่เจ็บสิบแปดสิบไม่ถึงร้อยปีกันด้วย ...มันสั้นนะ ถ้าเทียบกับอายุโลกน่ะ 

เพราะนั้นควรจะใช้ให้มันเป็นประโยชน์สูงสุด ในการที่จะมาเรียนรู้กายใจตามความเป็นจริง

ไม่งั้นเราจะหลงจม วนเวียน ถูกโม่ด้วยโลกธรรมนี่แหละ ตายเกิดๆ อยู่อย่างนี้ ...เกิดมานี่ เราเคยบอกแล้วว่า เกิดมา...ถ้านึกถึงการเกิดไม่ออก ตอนนี้มันลืมหมดแล้ว

ก็ลองนึกดูว่า ให้ไปนั่งอยู่ในโอ่งใหญ่ๆ ปิดฝา แล้วมีน้ำดำๆ เป็นน้ำคร่ำ แล้วเราไปนั่ง เก้าเดือนน่ะ กี่ครั้งแล้วๆ นี่ นับภพนับชาติไม่ถ้วนแล้ว

อ้อแอ้ๆ ออกมาก็หน้ายังกับผีน่ะ เด็กทารกใครว่าน่ารัก หน้ามันดูไม่ได้เลย เพราะมันทุกข์น่ะ งอก่องอขิงอยู่ตั้งเก้าเดือน พ่อแม่มันเอาอะไรกินกันมาไม่รู้ ราดหัวกูทุกวัน ร้อนก็ร้อน เผ็ดก็เผ็ด เค็มก็เค็ม เลือกไม่ได้น่ะ 

บางทีก็ตายแต่ในท้อง เอ้า หรือได้ออกมาก็ผ่าออก เอาตีนออก เอาหัวออกบ้าง  ออกมาก็ต้องตบตูดซะหนึ่งที ..ขนาดนั้นมันยังหากินเองไม่ได้ พ่อแม่ต้องหามาป้อนอีกเอ้า เห็นมั้ย 

แล้วอีกตั้งกี่ปีกว่ามันจะเดินได้ กว่ามันจะพูดได้ กว่ามันจะเรียกร้องเรียนรู้อะไร กว่ามันจะมาเรียนหนังสือ กว่ามันจะต้องมาแบกหนังสือไปโรงเรียนทุกวันเช้าเย็น 

กว่าจะได้ด๊อกเตอร์กันนี่ไม่ใช่ง่ายๆ นะ แต่ละคนๆ เนี่ย (หัวเราะกัน) ทำไปทำมานี่ ...เห็นมั้ย มันไม่เข็ดหรือไง มันไม่เข็ดน่ะ อยากเกิดกันจัง

ถ้าเราไม่มาเรียนรู้ เราจะต้องมาซ้ำซากอย่างนี้ในอาการซ้ำซาก  แล้วก็มาสุขมาทุกข์ มาได้ดั่งใจมั่ง ไม่ได้ดั่งใจมั่ง คนนั้นว่าอย่างนั้น คนนี้ว่าอย่างนี้ ...ตั้งใจจะทำนี่ ก็มีแต่อุปสรรคขัดขวางไปหมด

เอาเวล่ำเวลามาเสียไปกับเรื่องไร้สาระ แทนที่จะเอาเวลาที่การเกิดมาน่ะให้เป็นประโยชน์สูงสุด เพื่อการไม่กลับมาอีก ...มันไม่สบายนะในโลกนี้ กว่าจะได้มานั่งอยู่อย่างนี้ คิดดูสิ

ตอนเด็กๆ น่ะเราทำยังไง กว่าเราจะเรียนรู้ กว่าเราจะมายืนหยัดด้วยตัวเองพออยู่ได้ด้วยลำพังของตัวเอง นั่นเราต้องอยู่ในความคุ้มครองของพ่อของแม่ ต้องคอยระวัง ทำอะไรก็ไม่ได้ ไม่เป็นอิสระเลย

พอเริ่มมาเป็นอิสระแล้ว มันกลับใช้ความอิสระในทางที่ไม่เป็นประโยชน์ ...เพราะนั้นให้มันไปเรียนรู้ความอิสระของกายของใจ แล้วเรียนรู้ด้วยปัญญา ตรงนี้มันจะมีสาระสูงสุดมากกว่า

พระพุทธเจ้าอุตส่าห์บำเพ็ญมาตั้งสี่อสงไขยแสนมหากัป มาสอนว่า...อย่าอยู่เลยโลกนี้ อย่ามาอีกเลย ไม่มีอะไรหรอกๆ มันก็แค่เป็นความสุขประเดี๋ยวประด๋าว

ไอ้ที่เราเคยคิดเคยคาดและหวัง แล้วก็ได้มา ...มันก็แค่ได้เข้าไปเสพนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็หายไป...นิดเดียวแล้วก็หายไป ...แต่กว่าจะได้มาแต่ละอย่างน่ะ

กว่าจะได้ปริญญาอย่างนี้ ตั้งเป้าไว้ตั้งนานนะ กว่าจะได้มา...ได้มาแล้วมีอะไร จะเข้าไปเสพ เข้าไปเสวย ก็ไม่มีอะไรเป็นแก่นเป็นสารเป็นสาระสำคัญ

แต่กว่าจะได้มา เลือดตาแทบกระเด็น ...ดูซิ ทุกข์เท่าไหร่ เสียเลือดเสียเนื้อ เสียหยาดเหงื่อแรงงานไปเท่าไหร่ กว่าจะได้ความสุข...นิดนึง แล้วต้องรักษามันแทบตายเลย กว่าจะให้มันอยู่นานๆ น่ะ

เห็นมั้ย แล้วยังหาไม่รู้จักพอ หาความข้อง หาความติดพัน อย่างนี้ …ก็ให้เห็นว่ามันไม่ใช่สนุกหรอกการเกิดมา การใช้ชีวิตก็ไม่สนุก ยิ่งเวลาตายยิ่งไม่สนุกเลย

ดูร่างกายสิ อยากเห็นคนตายไปดูโรงพยาบาล ไปดูสิ ...ดูไม่ได้ แต่ละคนน่ะ ไม่มีสวยไม่มีงามน่ะ  ไอ้เคยสวยเคยงามขนาดไหน ไปดูเหอะ นอนบนเตียงไอซียูน่ะ แทบไม่เป็นผู้เป็นคนน่ะ

เวทนามันทับถมขนาดไหน มันกระชากลากถูจิตวิญญาณของเราขนาดไหน มันบีบรัด มันกดทับเอาขนาดไหน ...ถ้าไม่ฝึกสติสัมปชัญญะ ฝึกปัญญาในการนี้ไว้ เวลานั้นน่ะจะอยู่ตรงไหนล่ะ

ใจจะอยู่ตรงไหนล่ะ ...อยู่ตรงร้องแรกแหกกระเชิงร้องร่ำดิ้นทุรนทุรายไปมา ร้องเรียกหาหมอมาฉีดยาอยู่ตลอดหรือ ...เราต้องฝึก เราต้องเห็นคุณค่า เราต้องเห็นสาระในการปฏิบัติ มันเอามาใช้ได้ ใช้จริง

แล้วเมื่อเราปฏิบัติได้ตั้งแต่ตอนนี้ เรามีเรี่ยวมีแรง ฝึกซะตั้งแต่ตอนนี้ ...ไม่ใช่แปดสิบปีแล้วค่อยมาเจริญสติ...ไม่ทันนะ 

มันต้องใช้เวลาพอสมควร ในการที่จะเรียนรู้อาการทั้งหลายทั้งปวง ...แล้วก็ค่อยๆ ปล่อย ค่อยๆ คลายออก มันต้องใช้เวลา

เพราะนั้น ตั้งใจขึ้นมา ...มันไม่เสียหายกับการงานการใช้ชีวิต มีลูกก็อยู่กับลูก มีเมียก็อยู่กับเมียได้ ทำงานก็ทำไป จะวิจัยอะไรก็วิจัยไป จะสอนหนังสือก็สอนไป จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ

แต่ว่าเติมสติระลึกรู้ แล้วแยกรู้ออกจากอาการบ่อยๆ ...อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นพลวปัจจัยให้เกิดสติปัญญามากขึ้น เห็นความเป็นจริงได้มากขึ้น มองโลกได้กว้างขึ้น

ไม่ใช่มองแค่จุดมุ่งหมายที่กำลังทำตรงนี้ หรือว่าสิ่งที่จะได้มาข้างหน้าแค่นั้น มันจะได้มองกว้างกว่านั้น

สำคัญ...สติ ...ใครจะว่ายังไง ใครจะบอกว่าดูจิตผิด ดูจิตไม่ได้อะไร เรานี่เอาหัวยันตีนยืนยัน มาพูดมาสอนอยู่ได้ทุกวันนี้ ก็ด้วยการเจริญสติลูกเดียวเท่านั้นแหละ เอาสติเป็นหลักเลย

แรกๆ ก็ทำ สมถะน่ะ สมาธิก็ทำ  แต่สุดท้ายก็ไม่เอา มันไปไม่ได้ ...ไม่ใช่ไม่ดี แต่มันทำแล้วไม่เกิดประโยชน์กับเรา ...เราก็เจริญสติลูกเดียว

รู้ง่ายๆ นั่งก็รู้ นอนก็รู้ ยืนก็รู้ เดินก็รู้ คิดก็รู้ ดีใจก็รู้เสียใจก็รู้ สงสัยก็รู้ รู้ไปหมด รู้ๆๆๆ รู้จนเต็มโลกเต็มจักรวาลมีแต่รู้ และเห็นเต็มโลกเต็มจักรวาลเป็นแค่อาการ

มันรู้จนถึงที่สุดของรู้น่ะ มันไม่มีอะไรที่นอกเหนือจากรู้เลย ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ บอกให้เลย แยกได้หมดทุกอาการ มีใจแอบอยู่ตลอด อยู่ตรงนั้น

พอรู้ สติลงไปหยั่งถึงปึ๊บ ใจแยกออกมา วึ่บเลย ...แล้วพออยู่ที่ใจ รู้ที่ใจ ตรงนั้นน่ะเป็นที่เดียวที่เรายืนยัน เดินยัน นั่งยัน นอนยัน หัวยัน ว่าตรงนั้นน่ะ ไม่มีทุกข์ ...ทุกข์เกิดไม่ได้ ตรง “รู้” น่ะ

มีที่เดียวในอนันตาจักรวาล นี่ มีอยู่ที่เดียวตรงนี้ที่ไม่มีทุกข์...ให้เชื่อ ...อย่าไปเชื่อคำหลอก วิธีการนั้น วิธีการนี้ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ซะก่อน

เอาง่ายๆ รู้ตรงๆ รู้ไปตรงๆ นี่แหละ รู้โง่ๆ นี่แหละ อะไรเกิดขึ้นก็รู้ รู้โง่ๆ รู้ซื่อๆ รู้บ่ดาย รู้ธรรมดา แค่นี้ ก็ไปนิพพานได้แล้ว ...เพราะมันก็ดับอยู่ที่รู้นั่นแหละ

ถึงวาระจริงๆ ดับก็ดับไป ก็รู้อย่างเดียว ตายก็ตายไป...ก็รู้ ...นั่นแหละตายอยู่กับรู้นั่นแหละ ไม่ต้องกลัวหรอก 

ใครจะว่าได้มรรค หรือใครว่าไม่ได้มรรคได้ผลอะไร ใครว่าผิดว่าถูก ไม่รู้อ่ะ ตายอยู่กับรู้นั่นแหละ...พอแล้ว ...มันจะได้หายสงสัย


(ต่อแทร็ก 2/34)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น