วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 2/33 (1)


พระอาจารย์
2/33 (530925B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
25 กันยายน 2553
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  4  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  อย่าเครียด อย่ากังวล ใครจะว่ายังไงก็ช่าง ใครจะมีความเห็นยังไงก็ช่าง ...รู้อย่างเดียว แล้วก็กลับมาอยู่ที่รู้ จนกว่าจะจับตัวรู้ได้ จับใจรู้เป็น

เมื่อนั้นแหละมันจึงจะได้หลัก ...แล้วจะไม่มีปัญหา หรือปัญหามันจะน้อยลง การเข้าไปมีเงื่อนไขกับอาการจะน้อยลง  

เพราะนั้น รู้บ่อยๆ ไอ้ที่ว่าให้รู้บ่อยๆ ไม่ใช่รู้แล้วออกไปนะ ให้รู้แล้วกลับมาอยู่ที่ใจนะ ...เพราะกำลังสตินี่มันจะเป็นตัวระลึกรู้ ระลึกเพื่อให้เกิดสภาวะรู้ขึ้นมา

แล้วมันจะได้จดจำสภาวะรู้นั้นไว้ มันจะได้เห็นสภาวะรู้บ่อยๆ ว่าจริงๆ นี่ ยืนเดินนั่งนอนนี่ อยู่ดีๆ มันไม่ยืน มันไม่เดิน มันไม่นั่ง มันไม่นอนนะ ...มันมีใครอยู่เบื้องหลังเป็นผู้บงการ

นี่แหละคือสภาพรู้หรือสภาวะรู้ หรือใจดวงนี้มีทุกคนความคิดน่ะ ไม่ใช่อยู่ดีๆ มันออกมา มันมาจากต้นตอนี้แหละ ตัวรู้นี่แหละ ใจรู้นี่แหละ

ไอ้รู้เปล่าๆ นี่แหละ คือปัญหาใหญ่เลยแหละ คือเป็นมหาเหตุ ...ไม่ใช่ปลายเหตุนะ เป็นมหาเหตุ เป็นต้นเหตุ เป็นต้นใจ ใจนี่แหละตัวเหตุ

ถ้าอยากละเหตุให้เกิดทุกข์ ต้องมาละตรงนี้ ต้องมาสังเกตตรงนี้ อยู่ที่ฐานใจ ตั้งมั่นเป็นกลางอยู่ที่นี่ ปกติเป็นกลางอยู่กับใจรู้นี่ รู้เปล่าๆ รู้ธรรมดานี่แหละ รู้ง่ายๆ

แต่เรามองข้ามรู้ออกไป เวลาเรามีสติแล้วมันข้ามรู้ออกไป มันก็ข้ามออกไปจากสิ่งที่อยู่ต่อหน้าเรา ...ความคิดความเห็นบ้าง ความจำบ้าง อารมณ์ ความรู้สึกบ้าง เสียงบ้าง รูปบ้าง เหตุการณ์บ้าง

เพราะนั้นว่าต้องมีการโอปนยิโก ...โอปนยิโกคือการน้อมกลับเข้ามาที่ใจ ไม่งั้นไม่เกิดเป็นปัจจัตตัง คือความรู้จำเพาะจิตจำเพาะใจขึ้นมา ปัญญามีอยู่แค่นี้ ปัญญาไม่ใช่เอาความรู้อะไรเลย

ปัญญาให้กลับมาอยู่ที่อย่างนี้ ให้เห็นเป็นสองอาการ ขันธ์คือขันธ์ ขันธ์ไม่ใช่อะไร ...พอสองอาการปั๊บ ขันธ์นี่เป็นแค่ซาก เหมือนวัตถุข้าวของเลยนะ

โกรธ แรกๆ โกรธเอาเป็นเอาตายเลย เราโกรธ หงุดหงิดรำคาญ มันเหมือนความโกรธ ตัวเราโกรธ ไอ้โกรธนี่มันมีชีวิตจิตใจเลยแหละ มันมีเลือดเนื้อมีวิญญาณในความโกรธเลย

เห็นมั้ย เป็นตัวเราเลย มันมีเหมือนกับเป็นตัวตนเหมือนกับตัวเราคือโกรธเลยจริงๆ มันเจ็บปวด มันมีอะไรอยู่ข้างในโกรธนั่น

แต่พอมีสติเข้าไปหยั่ง รู้ว่าโกรธ รู้ว่ากำลังโกรธ รู้ว่าโกรธปุ๊บ จะเห็นเลยว่าโกรธมันเป็นแค่อาการสิ่งหนึ่งเท่านั้นเองแล้วก็รู้ ...เท่านั้นน่ะ รู้จริงๆ

ไอ้ใจรู้ต่างหากที่เป็นชีวิต ไอ้ใจรู้ต่างหากคือชีวิต โกรธไม่ใช่ชีวิตแล้ว โกรธไม่ใช่ตัวเราแล้ว โกรธไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่หญิงไม่ใช่ชายแล้ว

มันเป็นแค่ซาก เหมือนใบไม้แห้ง เหมือนก้อนหินก้อนดินเลย เห็นไหม ...แต่เมื่อเราไม่มีสติระลึกรู้ เราโกรธนี่ ตัวโกรธนี่มันมีชีวิตจิตใจเลย เป็นตัวเป็นตนกับขันธ์น่ะ

นี่เขาเรียกว่าความโง่หรือโมหะมันเข้าไป ดึงให้เราเข้าไปเอาขันธ์มาเป็นเรา เป็นเรื่องของเรา เป็นตัวเป็นตนกับขันธ์ห้า ปฏิบัติมาจนป่านนี้แล้วยังถูกมันหลอกอีก

ตัวเองหลอกไม่พอ ยังให้คนอื่นมาช่วยหลอกอีก ...เท่าทันแล้วกลับมารู้ให้ได้ แยกให้ออกในทุกอาการ ในทุกอาการเลยนะ ไม่มีเงื่อนไขเลยนะ

แม้กระทั่ง “ไม่มีอะไร” เอ้า พอมาถึงจุดนึงแล้วนะ มันจะไปถึงจุดที่ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรปรากฏขึ้นเลยในใจ ไม่มีอะไร มองข้างนอกก็ไม่เห็นความหมายความเห็น ไม่มีอะไรเลย

กว่าจะได้สติระลึกรู้ ฮึ้ย แล้วใครว่าไม่มีอะไรวะ แน่ะ มันยังมีใจซ้อนอยู่ในความไม่มีอะไรอีก เห็นป่าว มันยังไม่จบง่ายๆ หรอก


โยม –  พอถึงตอนนั้นเราก็เท่าทัน เห็นว่าจริงๆ ไอ้ความไม่มีอะไร มันก็มีความมีอะไรอยู่ในความไม่มีอะไร

พระอาจารย์ –  คือมีใจอยู่ในนั้น คือมีรู้อยู่ใช่มั้ย พอรู้ เห็นมั้ย มันมีตัวรู้อีกตัวหนึ่งนะ

เพราะนั้นใจไม่มีอาการ ไม่มีสภาพธรรม ใจมีภาวะเดียวคือรู้ ...เมื่อถึงจุดนั้นแล้วนี่ มันจะแสดงสภาวะต่างๆ นานา ที่มันยังหมายมั่นออกมาให้เราเรียนรู้ เข้าใจมั้ย


โยม –  แต่มันจะไม่ใช่อะไรที่หยาบๆ ประเภทโทสะอะไรที่เราเห็นง่ายๆ ใช่ไหมเจ้าคะ

พระอาจารย์ – โทสะ โมหะ โลภะ อะไรพวกนี้มันเป็นกิเลส กิเลสมันต้องต่อเนื่องออกมาด้วยปัจจัยต่อเนื่อง ...แต่ในลักษณะตรงนี้ ตรงที่ใจนี่ เป็นใจที่ไม่มีกิเลสเกิด แต่ว่ามันเป็นอวิชชาตัณหาอุปาทาน เข้าใจไหม


โยม –  พอเรามาถึงตรงนี้แล้วยังไงต่อคะพระอาจารย์

พระอาจารย์ –  ก็เหมือนเดิม


โยม –  ก็รู้ไป

พระอาจารย์ –  รู้กลางๆ แยกให้ออก แยกใจรู้ออกมาจากใจ ที่เราว่ามันเป็นใจผ่องใส ขุ่น


โยม –  ก็เห็นว่ามันคือความผ่องใส

พระอาจารย์ –  เห็นมั้ย พอเห็นว่ามีความผ่องใส มันมีตัวเห็นอีกตัวหนึ่ง นั่นแหละ


โยม –  บางทีก็จะเห็นว่าใจมันไปที่ความผ่องใส ก็เห็นให้ทันว่าใจมันไปชื่นชมกับความผ่องใส

พระอาจารย์ –  ใช่ เข้าไปยินดี แล้วก็ถอนออกเป็นใจรู้ ...ถอนออกบ่อยๆ รู้เป็นกลาง ไม่ต้องแก้ ไม่ต้องห้าม ไม่ต้องดับ ไม่ต้องละ ...ถอนออกๆ จนมันหมดอาการ


โยม –  ถอนออกคือรู้ๆๆ

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ รู้เปล่าๆ รู้เฉยๆ  แล้วไม่ต้องประคอง รู้อย่างเดียว รู้กลางๆ รู้ไปเรื่อยๆ ...จนมันหมดอาการ แล้วมันจะรู้เองว่ามันหมดอาการเมื่อไหร่


โยม –  ถ้าเกิดมันยังมีให้ดู มันก็มี ก็รู้ไปกับอาการ

พระอาจารย์ –  ใช่ ก็รู้ไป เพราะนั้นไม่ต้องไปคิดเลยว่าเมื่อไหร่จะหมด


โยม –  เพราะถ้าเราคิดเมื่อไหร่เราก็หลงทันที

พระอาจารย์ –  ออกแล้ว รู้อีก ส่งออกแล้วนั่นน่ะ ส่งออกแล้ว ถ้าคิด...ออกนะ ส่งออกแล้ว ...เพราะนั้นมันจะปรากฏยังไง เรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของใจ

มันเป็นแค่อาการที่ถูกหมักหมมอยู่ภายใน เท่านั้นเอง ...ถ้าไม่รู้เมื่อไหร่มันจะเข้าไปยินดียินร้ายกับมันทันที ...พอรู้ปุ๊บกลางเลย กลางอยู่ที่ใจ


โยม –  ขอถามต่อหน่อยค่ะพระอาจารย์ คือตอนนี้โยมมาถึงที่พระอาจารย์บอกไว้ เราแยกเป็นตัวรู้และสิ่งที่ถูกรู้ ...อย่างเดือนนี้โยมมีทั้งความสุขมากๆ และความทุกข์มากๆ เข้ามา แต่โยมเห็นแล้วว่า สุขทุกข์มันเป็นเรื่องของคนอื่น ไม่ใช่เรื่องของเรา เราก็รู้ มันไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับใจเรา นอกจากว่าเวลาที่สติเราอ่อน มันเข้าไปรวมกัน แต่พอเราเห็นแล้วเราไม่แทรกแซง มันก็ถอยออกมาเอง

พระอาจารย์ –  อือ มันจะถอนออก กระเด้งออก


โยม –  พอมาถึงตรงนี้ปุ๊บ มันเหมือนกับว่ามันไม่ค่อยมีอะไรให้ดู มันเหมือนกับ...แต่จริงๆ แล้วพอดูไปนี่ ไอ้ความที่เรารู้สึกไม่มีอะไร มันมีอะไร

พระอาจารย์ –  เออ ก็แค่รู้ บอกแล้ว พอไม่มีอะไร รู้ รู้ว่าไม่มีอะไรๆ


โยม –  คือตอนนี้มันจะเริ่มละเอียดมากๆ จนเรา...มันเหมือนกับแบบมีอะไรต้องเรียนรู้ตรงนั้นอีกน่ะค่ะพระอาจารย์

พระอาจารย์ –  มันจะเข้าไปสู่เป็นอรูป เป็นอรูปจิต อรูปจิตก็ยังเป็นภพหนึ่ง นะ ...เพราะนั้นแรกๆ เราจะไม่เท่าทันอรูป


โยม –  เจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  แล้วมันจะเข้าหมายมั่นว่าอรูปนั้นเป็นใจ ว่าตัวเราไม่มีอะไร


โยม –  แต่จริงๆ มันมี

พระอาจารย์ –  เออ ให้รู้อีก รู้ซ้อนลงไป สติหยั่งลงไป รู้


โยม –  แล้วทุกวันนี้มันเหมือนกับว่า เราจะไม่เหมือนกับสมัยก่อนที่เราเจตนามุ่งมั่นภาวนาๆ แต่ทุกวันนี้มันเหมือนกับว่า

พระอาจารย์ –  ทิ้งเลย


โยม –  เจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  ดีแล้ว ขยะ มันเป็นแค่ขยะ ...การกระทำทั้งหลายทั้งปวง มันจะวางหมด จะไม่มีเจตนา จะไม่มีความจงใจ มันจะทิ้งเลย อย่าไปเหมือนกับน้ำลายที่บ้วนทิ้งแล้วกลับไปเลียใหม่อีก


โยม –  โยมเคยเห็นความคิดนั้นเจ้าค่ะ แล้วโยมก็พิจารณาไปว่า เราเคยมีวิหารธรรมอยู่ตลอด แต่พอวันหนึ่งเราตัดสินใจว่า พอเราทิ้งออกปุ๊บ วันนึงเราเอามีปอกผลไม้ คือเราแค่รู้ลงไปปุ๊บ มันเห็นความกลัวขึ้นมา แล้วมันก็ดับ ทุกอย่างมันเป็นอัตโนมัติ พึ้บๆๆๆ แล้วเราแค่รู้เท่านั้น


พระอาจารย์ –  เคยปอกหอมมั้ย ลอกไปเรื่อยๆ ...สุดท้าย เมื่อปอกหอมจนถึงกลีบสุดท้ายมันมีอะไร

โยม –  มันไม่มีอะไร


พระอาจารย์ –  เออ นั่นแหละ มันมีแต่ใจรู้อย่างเดียว ไม่เอาอะไรทั้งสิ้น


(ต่อแทร็ก 2/33  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น