วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 2/29 (2)


พระอาจารย์
2/29 (530918B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
18 กันยายน 2553
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 2/29  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  มันคืออาการ ...ถ้าขึ้นชื่อว่าอาการ...มันไม่แน่นอน มันส่ายแส่ มันขึ้นๆ ลงๆ ...ถ้ายังมีอาการขึ้นๆ ลงๆ ล่ะก็ไม่ใช่  อย่าไปผูกพันหมายมั่น ผูกเสี่ยวกับมัน หรือเอามันมาเป็นพวก

อย่าไปคบคนพาล เห็นมั้ย จิตพาล ...คืออาการของจิตน่ะพาล  มันพาลไปเกิด พาลพาไปตาย พาลพาไปหาทุกข์ พาลพาไปหาสุข พาลไปหาอะไรก็ไม่รู้ ที่จับต้องไม่ได้

แต่คบบัณฑิต นี่คือบัณฑิต...บัณฑิตคือใจ ใจรู้...รู้ใจ ...แต่ออกไปนี่ไม่รู้ มันก็พาหลง..นี่คนพาล โง่ มืด บอด หลง  ไม่รู้ที่มา ไม่รู้ที่ไป  คาดๆ เดาๆ  มั่วๆ ไป มั่วๆ มา  คนนั้นว่า คนนี้ว่า

เนี่ยเห็นมั้ย ใครว่าล่ะ สีลัพพตปรามาส ความหมายมั่นตามความเชื่อความเห็น เคยได้ยินเคยได้ฟังมา อาจารย์คนนั้นว่าอย่างนี้ อาจารย์คนนี้ว่าอย่างนั้น เนี่ยที่มันทะเลาะกันทุกวันนี้

อยู่ที่ดวงจิตผู้รู้ ใจผู้รู้ ...แต่ว่าผู้รู้ของเราในขณะแรก ขณะที่เห็น ก็อย่างที่บอกแล้วไง บางครั้งก็เห็นเป็นใจเรารู้ ...ไม่เป็นไร อยู่ที่นั่นแหละ แล้วมันจะจำแนก แยกๆๆ สิ่งที่หมักหมมภายในนั้นออกมาเอง

อย่าใจร้อนส่วนมากทำเป็นวัยรุ่นน่ะ วัยรุ่น..อายุปานนี้แล้วก็ยังเป็นวัยรุ่น มันไม่ได้ดั่งใจ จะเอาให้ได้ทีเดียวสำเร็จเข้ามรรคผลตรงนั้นเลย..ใจร้อน

เหมือนมะม่วงน่ะ  มะม่วงห่ามๆ ...เจอแล้ว ก็บีบๆ มันจะเอาให้สุกคามือเลย ..เนี่ย เละ เสียของๆ ...ใจเย็นๆ ใจเป็นกลาง สงบ สันติ ระงับ ตั้งมั่นอยู่ภายใน

รู้จักการดู...ดูด้วยอาการที่เป็นปกติมั้ย  นั่นแหละ ดูด้วยอาการสงบสันติ...ยังไงก็ยังงั้นน่ะ ...อยู่กับมัน ดูมันไป แล้วมันจะแสดงความเปลี่ยนแปลง  

บอกแล้วไงว่า ถ้าตราบใดใจดวงนี้ ดูมัน แม้จะดูเหมือนไม่หาย ไม่เปลี่ยนแปลง ...ดูไปเรื่อยๆ แล้วจะเห็นว่าถ้ามันยังมีอาการไตรลักษณ์ใดแทรกอยู่ เดี๋ยวมันแสดงอาการให้เห็นวันยังค่ำน่ะ ไม่ต้องกลัว

แล้วเห็นเมื่อไหร่มันจะคัดออกทันที ไม่ต้องกลัวว่ามันจะอยู่ยั้งยืนยาวคราวไกลกะเรา ...อู้หูย ทนอยู่กับมันมาตั้งกี่ล้านๆ ชาติแล้ว  อยู่กับมันไปเถอะ ดูมันไป 

แต่อยู่ด้วยสติ ศีล สมาธิ ปัญญา มันมีทางออกไปเอง อย่าใจร้อน ...ทีอยู่กับมันมาตั้งล้านๆ ชาติ  ไม่เห็นรีบร้อนเลย เนี่ย ใช้มันจับจ่ายใช้สอยกันมาเพลินเลย 

ไปซื้อหาความสุข ซื้อหาภพ ซื้อหาชาติ ซื้อหาลาภยศสรรเสริญ ซื้อหาทรัพย์สมบัติ ซื้อหาคู่ ซื้อหาคน ซื้อหาสิ่งของ ซื้อหาอะไรต่างๆ มากมายกับอาการพวกนี้ 

เมื่อเราเห็นแล้ว อย่าใจร้อน ไม่ต้องไปไล่ไปดับมัน ...เขามีขั้นตอนของเขาเอง  มีขั้นตอนของเขาที่จะค่อยๆ ชำระ ค่อยๆ ขัดเกลา มันจะขัดเกลาไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ

แต่พวกเรา...เวลาขณะที่มันอยู่ตรงนี้ มันจะมีสัญญาอารมณ์ ความจำได้หมายรู้พวกจินตาน่ะ ...พวกนี้มันจะเข้ามาแทรก มาเป็นตัวเร่ง มาเป็นตัวเร่งรัด

“ต้องยังงั้นซิ ต้องยังงี้ซิ มันจะเร็วขึ้น  อยู่อย่างนี้รู้เฉยๆ แค่นี้ เดี๋ยวจะตายเสียก่อน เดี๋ยวจะไม่ทัน” ...ไม่ทันก็ไม่ทัน ตายใหม่เกิดใหม่รู้ใหม่  ไม่ต้องกลัว อันนี้มันเป็นอริยทรัพย์


โยม –  เตรียมตัวก่อนตายฮ่ะ เพราะมันค่อนข้างน่ากลัว เพราะเวลาก่อนตายนี่มันต้องมีเวทนาแน่นอน

พระอาจารย์ –  อือ เตรียมแค่นี้พอแล้ว ดีที่สุดแล้ว ...จับหลักให้มั่น จับหลักรู้ให้มั่น ..สู้กับเวทนาไม่ได้ อย่าคิดสู้กับเวทนา อย่าคิดต่อต้าน อย่าคิดไปพิจารณาเวทนาในขณะนั้นเลย

เพราะนั้นก็ไม่พิจารณาอะไรทั้งสิ้น ...กลับมารู้อย่างเดียว อยู่ที่รู้อย่างเดียว ไม่ว่ารู้นั้นจะเป็นใจรู้รู้ใจ หรือใจเราใจรู้อะไรก็ตาม ...กลับมาอยู่ที่รู้

ใครเป็นคนเจ็บ ใครเป็นคนปวด ใครเป็นคนอยากหาย ใครเป็นคนไม่อยากตาย ใครเป็นคนอยากอยู่ ...อยู่ที่ตัวนั้นน่ะ พอแล้ว ต้องจับหลักนี้ให้ได้

ไม่ว่าจะเป็นปุถุชน ไม่ว่าจะเป็นพระอริยะ ไม่ว่าเป็นพระอริยสงฆ์ขั้นไหน ท่านอยู่ที่ใจ ใจดวงนั้น ...จะหยาบ จะละเอียด หรือจะเป็นใจประณีตขนาดไหน...ท่านอยู่ที่ใจ

ต้องกลับมาอยู่ที่ใจ อย่าไปอยู่ที่อาการ ...ถ้าอยู่ที่อาการเมื่อไหร่มันจะเป็นไปตามอาการ ภพชาติจะไปเกิดตามอาการ ทุกข์-สุขบ้าง แตกต่างกันไป

เพราะนั้นอย่าไปเข้าใจว่าจะต้องพิจารณาให้แจ้งในขณะนั้น...ไม่มีทางนะ ไม่มีทางแจ้งหรือเอาชนะเวทนาได้เลย  มันเป็นอย่างนี้..แล้วมันต้องเป็นอย่างนี้


โยม –  ที่อาจารย์พูดนี่ก็แสดงว่ามีคนดูอาการเหมือนกัน แต่ต้องเรียกว่าสุดยอดเลย...ที่จะดูอาการตรงนั้นทะลุปรุโปร่งได้ใช่ไหมฮะ

พระอาจารย์ –  ทะลุนั่นก็ไม่ทะลุนะ ทะลุนั่นเป็นฌานนะ ...ถึงทะลุหรือว่าดับเวทนาภายนอกได้น่ะ ก็เป็นรูปฌานหรืออรูปฌาน ไม่ได้เข้านิพพานนะ ไม่ได้แจ้งในกายนะ ไม่ได้แจ้งในเวทนาเลยนะ 

มันเป็นตทังควิมุตติ...คือระงับดับชั่วคราว แค่นั้นเอง ถ้าดับๆๆๆ ได้หมด ไม่รู้เรื่องรู้ราวกับอาการของขันธ์เลยนี่...นู่นเข้าไปเลยอรูปภพ

เพราะฉะนั้นการที่พิจารณาออกไปจนกว่าถึงจุดที่สุดดับของมัน หรือทนไม่ได้ หรืออาการเวทนานั้นดับไปหายวับไปกับตานั้น ...ให้รู้ไว้เลยว่าผิด..อย่าไป ..เสียดายชาติเกิด


โยม –  เป็นพรหมลูกฟัก

พระอาจารย์ –  เออ ลูกฟักลูกแฟงลูกแตงอะไรไม่รู้ ...แต่มันกว่าจะมาเกิดได้อีกนี่ นับขาดไม่รู้กี่พุทธันดร ...พระพุทธเจ้ายังบอก “ฉิบหายแล้ว” 

นี่คือสำหรับอาฬารดาบสและอุทกดาบส อาจารย์ของท่าน ...ทั้งสองได้สมาบัติขั้นสูงของอรูปฌาน และทำได้ด้วยความชำนาญอย่างยิ่ง คืออยู่ได้ตลอดเวลา

พระพุทธเจ้าด้วยสัพพัญญุตญาณ ตรัสรู้แล้วดูจะสอนใครดี ก็ปรากฏสองชื่อนี่ที่ท่านพูดคำเดียวสำเร็จเลย ...แต่ก็ถึงขั้นอุทานว่าฉิบหายแล้ว เพราะตายก่อน ไปเกิดเป็นอรูป

นั่น หาจิตก็ไม่เจอ อย่าว่าแต่รูปไม่มีเลย ใจยังไม่ปรากฏ ...แต่มันถูกปิดบังด้วยอรูปน่ะ ไม่ใช่ว่าใจดับหายนะ แต่มันถูกปิดบังด้วยภพของอรูป

ทำไมพระพุทธเจ้าว่าฉิบหายแล้ว ...เออ ถ้าเป็นรูปพรหมนะ ท่านยังสอนได้นะ แต่คือเป็นอรูปนี่ไม่มีจิตให้เห็นน่ะ ไม่มีจิตออกมารับรู้อะไรเลย ไม่มีวิญญาณออกมารับรู้ ...มันดับถึงขนาดนั้นน่ะ

แต่มันไม่ได้ดับโดยสิ้นเชิงนะนั่น มันเป็นนิพพานดิบ จะเรียกอะไรก็ได้ สุขาวดีก็ได้ หรือแดนนิพพานอะไรของเขาประมาณนั้นน่ะ มีหลายสำนักนะๆๆ ไปอย่างนี้

กลายเป็นว่านิพพานกลายเป็นภพไป แล้วก็มุ่งไปสู่ความว่างความดับ เห็นมั้ย ลองพิจารณาสิ อยากจะให้มันดับนะ อยากให้มันว่างน่ะ ภพก็ไปภพว่างภพดับ ก็เรียกว่าเป็นอุจเฉททิฏฐิภพ...นี้สูญ

มันมีสองทิฏฐิใหญ่..ไม่มีอะไรเลย...สูญ ...เดี๋ยวนี้ชาวพุทธเอามาแอบอิงกับคำสอนพระพุทธเจ้าหน้าตาเฉยเลย โดยไม่เข้าใจ บิดเบือนนะ ...ยังไงต้องรู้ อยู่ที่ใจรู้ ดับไม่ดับช่างหัวมัน


โยม –  เพราะฉะนั้นเวลาที่เราเกิดเวทนานี่ อาจารย์บอกว่าให้ดูที่ใจ ถ้าเกิดใจมันไปรับรู้ว่า ชั้นเจ็บนะๆ ที่ใจ ตรงนี้ๆ

พระอาจารย์ –  ใช่ ใจรู้...จิตคืออาการ...ต้องแยกให้ออกนะ ...คำและภาษา บางทีคำพูดนี่ทำให้คนสับสน  บางครูบาอาจารย์พูดเรื่องจิต แต่ความหมายของท่านคือใจ

แต่ถ้าในลักษณะของเรานะ ถ้าเราพูดว่าใจ...ใจคือใจรู้อย่างเดียว ไม่มีอาการ เป็นวิสังขาร...แต่ว่ายังไม่วิสังขารโดยสิ้นเชิงนะ เพราะยังมีอาการภายในที่พร้อมจะแตกตัวออกมา

แต่ว่าถ้าดูโดยเนื้อของมัน...มันรู้เปล่าๆ รู้เฉยๆ ...ตรงนี้ มันดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เกิดหรือดับอยู่ภายในเลย ยังงั้น รู้เปล่าๆ 

แต่ถ้ามีความเห็น ความคิด หรือเศร้า หมอง ขุ่น มัว กังวล วิตก ผ่องใส เบาบาง ...อันนั้นเรียกว่าจิต..เป็นอาการที่เนื่องมาจากใจรู้

เพราะอะไร ...เบา ผ่องใส ...รู้มั้ย ใครรู้ว่าผ่องใส ...เห็นมั้ย ยังมีอีกตัวซ้อนอยู่ใช่มั้ย  หมอง ขุ่น...ใครรู้อ่ะ ใครรู้ว่าหมองอ่ะ เห็นมั้ย ยังมีใจรู้ซ้อนอยู่อีกนะ

ตอนแรกก็ว่าจิตเราหมอง ใจเราหมอง ...ใจไม่เคยหมอง ...นี่ มันเป็นอาการที่มาปิดบังใจ จึงดูเหมือนว่าใจเราหมอง ...จริงๆ ใจไม่เคยหมอง

แล้วทำไงถึงไม่ให้หมอง ...ก็รู้ว่าหมอง เห็นมั้ย แยกออกแล้ว  สติเข้าไปแยกออกแล้ว แยกใจออกจากสภาวะนาม ...เพราะงั้นกลายเป็นหมองไม่ใช่ใจ หมองเป็นแค่อาการหนึ่ง

สติ มีตั้งแต่ หยาบ กลาง ละเอียด ประณีต ...ประณีตคืออะไร ...ไม่มีอะไร  ถึงจุดหนึ่งน่ะไม่มีอะไรให้ดู ไม่มีอะไรปรากฏเลย ...แต่...ก็ใครเห็นว่าไม่มีล่ะ มันยังมีอีกน่ะ เห็นมั้ย 

นั่นขั้นประณีตนะนั่นน่ะ ..นั่นขั้นของพระอนาคาแล้ว ...แต่อนาคาก็มีสองอนาคา...อนาคามั่ว...กับอนาคามีจริง (หัวเราะกัน)


(ต่อแทร็ก 2/29  ช่วง 3)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น