วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 2/27 (3)


พระอาจารย์
2/27 (530911B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
11 กันยายน 2553
(ช่วง 3)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 2/27  ช่วง 2

พระอาจารย์ –  ไอ้ตัวอาการรู้หรือสภาวะรู้...ก็ถือว่าเป็นกรงขังอันหนึ่งนะ ยังเป็นกรงขัง เป็นกรงขังใจอยู่ภายใน ...มันถึงมีภาวะเป็นภาวะรู้ขึ้นมา ดูเหมือนมันอยู่ตรงนี้ มันจะมีที่หมาย ที่มั่น ที่ตั้งของมันอยู่ เหมือนเป็นกรงขังใจอยู่

แต่ให้อยู่ตรงนั้นแหละ ...แล้วมันจะค่อยๆ เปิด ทำลายแอก หรือว่าปลดแอกโซ่ตรวน..ที่มันขังใจไว้ให้เป็นรูปร่างออกไป  มันจะค่อยๆ ทำลายออกไป ด้วยการสำรอกออกไป

ไอ้สิ่งที่ก่อเกิดภาวะรวมกันเป็นใจผู้รู้ หรือใจรู้เป็นดวงอยู่อย่างนั้น เป็นอาการสภาวะนั้น...ก็คืออวิชชาตัณหาอุปาทาน ...เมื่อมันคลายออก สำรอกออก  มันก็เหมือนกับไปทำลายกรงขังมัน ตัวมันเอง 

จนหมดสิ้น จนไม่มีเหลือแม้แต่อณูเดียวที่จะไปตั้งอยู่ในนั้นได้ ทุกอย่างก็เปิด...คราวนี้เปิดออกไม่มีประมาณ เป็นใจรู้ที่ไม่มีประมาณ หรือว่าเป็นอัปปมาโนพุทโธ อัปปมาโนธัมโม อัปปมาโนสังโฆ

จิตก็เข้าสู่ไตรสรณคมน์โดยสมบูรณ์  ไม่ไปอยู่กับอะไร ไม่เอาอะไรเป็นที่พึ่ง ไม่พึ่งอะไร ...กลับไปสู่ธรรมชาติเดิมที่ไม่เป็นไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง ที่ยึด ที่เหนี่ยว ที่หยั่ง ที่หมาย

แต่ถ้าดูตอนนี้ของพวกเรา...บานเลย ยั้วเยี้ยเต็มไปหมดเลย ความฝันอันบรรเจิด ยังอยู่อีกเยอะ ...ก็ค่อยๆ เรียนรู้แล้วก็ให้มันไม่เหลืออะไร จนไม่เหลืออะไรน่ะ

จนเป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอก จนเป็นคนไร้รากไร้เงา จนเป็นคนไม่มีที่มาไม่มีที่ไป ไม่รู้จะมาไม่รู้จะไปไหน

ตรงนั้นแหละ กลับไปสู่ธรรมชาติเดิม แล้วแต่มันจะเป็น แล้วแต่มันจะไป หมดสิ้นซึ่งความหมายความหวัง ...กลายเป็นคนหมดอาลัยตายอยาก (หัวเราะ) ไม่หวังไปข้างหน้า ไม่อาลัยในอดีต


โยม –  คิดสั้นด้วย

พระอาจารย์ –  ความคิดก็สั้น ความจำก็สั้น...แต่ความรักฉันไม่ยาวนะ (โยมหัวเราะกัน) ความรักก็สั้น ความจำก็สั้น ทุกอย่างสั้นหมด หดหมด น้อยลงหมด น้อยลงๆ จนมีความรู้สึกว่าไม่มีอะไรเหลือเลย

เพราะนั้นว่า อย่าไปขยันคิด อย่าไปขยันจำ อย่าไปขยันปรุง อย่าไปขยันสร้างสภาวะนั้น ขยันน้อมสภาวะนี้เข้ามาหลอกจิต เข้ามาเป็นที่พึ่ง ...ไม่มีหรอก ภพภูมิอะไร ทิ้งให้หมด

กูไม่ไปไหน อยู่ตรงนี้ กูเอาแค่นี้ อยู่ตรงนี้...ไม่มีภพ ไม่มีภูมิ ไม่มีขั้น ไม่มีภูมิธรรมใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีภูมิ ...มึงอยากมีเอาไป กูจะให้  มึงอยากได้ เอาไปๆ ความอยากได้ภูมิได้ธรรมอะไร เอาไปๆ

แจกไป สละมันออก ความอยากได้อยากมีอยากเป็นอะไร...ไม่เอา ไม่เป็น ...รู้ๆ มีแต่รู้ไป แล้วก็ทำลายตัวรู้ไป ทำลายกรงขังรู้เข้าไป ทุกสิ่งทุกอย่างมันออกมาจากตรงรู้นั่นแหละ

แล้วมันก็เหมือนกับหมาเน่าลอยน้ำ ก็ปล่อยให้มันลอยไป ลอยมันออกไป เนี่ย กิเลสมันก็จะล่องลอยออกมา หรือว่าค่อยๆ สำรอกออกมา

แต่เวลาเราสำรอกออกมา มันเหมือน...เสียดายอ่ะ ยังอร่อยอยู่น่ะ ...แต่ว่าถ้าเข้าใจแล้ว พระอริยะนี่ เหมือนน้ำลายที่ถูกถุยทิ้งน่ะ ไม่เลียกลับคืนนะ

แต่พวกเรานี่ขยันเลียจัง ทิ้งแล้วก็..ฮื้อ มันติดปาก ก้มมาเลียกลับคืน ...มันน่าเลียไหม ถ้าดูถึงภาวะจริงๆ น่ะ ...แต่เราน่ะ จิตที่มันโง่นะ มันยังอาลัย มันยังเสียดาย แม้แต่น้ำลายที่บ้วนไป ก็ยังเลียคืน

เนี่ย พระพุทธเจ้าหรือพระอริยะท่านเปรียบให้ดูน่ากลัว ให้เห็นตามความเป็นจริงให้ชัดเจนว่า สิ่งของที่ทิ้งแล้ว ละแล้ว วางแล้ว เหมือนน้ำลายๆ เข้าใจมั้ย


ผู้ถาม –  เข้าใจ แต่คงจะทำได้ก็ต้องใช้เวลา

พระอาจารย์ –  อือฮึ  ค่อยๆ อบรม  ค่อยๆ บ่ม ...เหมือนเราบ่มมะม่วง ไม่ต้องบ่มแก๊ส ให้มันสุกตามธรรมชาติ มันจะค่อยเป็นไป

อาจจะใช้เวลา อาจจะดูเหมือนไม่ได้อะไร ไม่ทำอะไร  สภาวะก็จะเหมือนเก่านั่นแหละ ไม่ได้เปลี่ยน ไม่ได้อะไรทั้งสิ้น ...แต่ว่ากลับมาเห็นตามความเป็นจริง ให้รู้ตามความเป็นจริง 

มีอะไรเกิดขึ้นก็รู้ๆ รู้ๆ มันจะยังไงก็ช่าง รู้แค่นั้น แยกออกมาจากอาการ แยกออกให้เห็น ด้วยสติระลึกขึ้นมา แล้วก็แยกธาตุแยกขันธ์ แยกใจแยกนาม ออกจากกัน

แยกออกบ่อยๆ ...ปัญญาจะเกิดจากเห็นอาการที่แยกออก แล้วก็ให้เห็นสิ่งที่แยกออกไปนั้นเป็นไตรลักษณ์ นี่ มันเห็นด้วยตัวของมันเอง

เราไม่ต้องไปคิดว่ามันเป็นไตรลักษณ์ยังไง มันเกิดยังไง มันตั้งหรือมันดับ หรือมันอนิจจัง ...ไม่มีภาษา ไม่มีบัญญัติอะไร  แยกออกมา แล้วจะเห็นไตรลักษณ์ของมันเอง

คือเห็นความแปรปรวน เห็นความเสื่อมไป เห็นความมากขึ้น-น้อยลงของมัน เห็นความไม่คงอยู่ของมัน เห็นความไม่แน่ไม่นอนของมัน แค่นั้นแหละคือไตรลักษณ์

เราไม่ต้องบอกว่า...นี่ อ๋อ อย่างนี้คืออนิจจัง อ๋อ อย่างนี้อนัตตา อ๋อ อย่างนี้เรียกว่าทุกขัง ...นี่ไม่ว่า ให้เห็นอย่างนี้  ถ้าไม่แยกออกมามันจะไม่เห็นอาการตามความเป็นจริง

ถ้าหลงไปกับอาการแล้วจะไม่เห็นอาการตามความเป็นจริง ...เพราะนั้นสติที่ว่าต้องมีให้มาก ต้องให้ขยัน เพื่อให้แยกให้ออกมาเห็นอาการไตรลักษณ์ของมัน

ถ้าไม่แยกกายแยกใจ ถ้าไม่แยกอายตนะกับใจ ถ้าไม่แยกผัสสะกับใจ ถ้าไม่แยกอารมณ์ออกจากใจ ถ้าไม่แยกเวทนาออกมา ...จะไม่เห็นอาการพวกนี้เป็นไตรลักษณ์ยังไง

เพราะนั้นถ้าไม่เห็นอาการว่าเป็นไตรลักษณ์ยังไง ...จิตจะไม่มีคำว่าปล่อยวางเลย  จะมีแต่ความหมายมั่นมากขึ้นกับมากขึ้น 

ถ้าเราปล่อยให้จิตลุ่มหลงมัวเมาขาดสติ ขาดการรู้ ขาดการเห็น ไม่รู้กายไม่รู้ใจ ทั้งวันทั้งคืน ...มันมีแต่สร้าง หรือว่าผูก หรือว่าแนบแน่นด้วยความหมายมั่นมากขึ้นกับมากขึ้น ไม่มีทางจะน้อยลงเลย

เมื่อปล่อยให้มันเป็นไปตามยถากรรมหรือว่าปล่อยปละละเลย หรือว่าอยู่ด้วยความประมาทมัวเมา ...มันมีแต่ว่าจมๆๆ จมลงไปกับโลก จมไปกับอดีตอนาคต จมไปกับการตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้น

แล้วก็บอกว่า เขาก็อยู่กันอย่างนี้ทั้งโลกน่ะ อือ...ก็อยากอยู่กับคนทั้งโลกก็ต้องเป็นอย่างนั้น

แต่ถ้าอยากออกนอกโลก หลุดพ้นจากโลก พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด พ้นจากการกลับมาหาสุขหาทุกข์ พ้นจากการกลับมาเสวยสุขเสวยทุกข์ พ้นจากการกลับมาดิ้นรนรักษาความสุขให้มากขึ้น นานขึ้นๆ 

ก็ต้องขวนขวาย ใส่ใจ ในการแยกกายแยกขันธ์  แยกจิต แยกกาย แยกใจออกมา ทุกสิ่งทุกอย่างออกมา ...ให้มันเป็นแค่อาการ ให้มันเป็นแค่สิ่งที่ถูกรู้ แค่เนี้ย

อาจจะเหนื่อย อาจจะไม่สนุก อาจจะน่าเบื่อ ...แรกๆ อาจจะไม่ใช่เป็นสาระสำคัญเท่าไหร่ เป็นเรื่องรองๆ  มันยังมีสาระกับอาชีพการงาน การขวนขวายอะไรที่สำคัญมากกว่ารออยู่ หรือน่าทำมากกว่า

แต่ในขณะที่ทำอาการนั้นๆ มันรู้ได้ มันสามารถรู้ได้ ทำได้ก็รู้ได้ ...เพราะความรู้ไม่เคยหวงห้าม ไม่มีเวลา ไม่มีช่องว่างได้เลย  มันมีอยู่ตลอดเวลา ...แต่เราไม่เจริญสติแค่นั้นเอง

เพราะนั้น อาชีพการงานอะไรก็ทำไป หน้าที่ภายในก็รู้  มีอะไรก็รู้ๆๆๆ ทำอะไรก็รู้ ...จนเป็นนิสัย สร้างนิสัยนี้ขึ้นมาใหม่ ให้มีการใส่ใจในการสร้างสติ เจริญสติขึ้นมา รู้ขึ้นมา

จึงจะมีหนทางออกนอกโลก ออกจากโลกได้ ออกจากการเวียนว่ายตายเกิด ...ถึงจะไม่ได้ในที่สุดก็ทำการตายเกิดๆ ให้น้อยลง ไม่มาแบบไม่รู้จักหัวจักท้าย ไม่เกิดแบบไม่มีที่มาที่ไป แบบสุดกู่เลย 

คนในโลกไม่รู้จักเท่าไหร่ ยังต้องตายเกิดอีกไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ อีกกี่แสนกัป อีกกี่ล้านกัป ..ไม่ต้องพูดเป็นปีเป็นเดือน พูดเป็นกัป ...แค่ความไม่รู้นี่ พาให้มาเกิดตาย พาให้มาสุขมาทุกข์

เกิดมาแต่ละครั้งไม่ใช่มีความสุขความสบายนะ ดิ้นรนขวนขวาย กระวนกระวาย โดนหนาวก็หนาว โดนร้อนก็ร้อน โดนฝนก็เปียก มีแต่โรคภัยไข้เจ็บ มีแต่การดิ้นรนขวนขวายเบียดเบียนกัน

เราไม่เบียดเบียนเขา เขาก็เบียดเบียนเรา เราอยู่เฉยๆ เขาก็ยังมาเบียดเบียนเรา หาเรื่องให้เรา ดีขนาดไหนเขาก็ไม่ดีให้เรา เห็นมั้ย ทำตัวดีขนาดไหนก็ยังโดนด่า ทำตัวดีขนาดไหนก็ยังโดนเขารังแก 

แล้วเราต้องคอยหลบเลี่ยง ต้องขวนขวายดิ้นรน ต้องรักษา ประคับประคอง ต้องคอยเอาใจคนโน้นคนนี้ ดูแลคนนั้นคนนี้ พัวพันมากมายก่ายกอง เห็นมั้ย ความเป็นอยู่นี่มันน่าอยู่ตรงไหนการเกิดมาเป็นคน  

น่าเบื่อนะ การเกิด...เป็นทุกข์นะ ไม่เป็นสุขนะ  สุขมีนิดเดียว สุขเพียงแค่ประเดี๋ยวประด๋าว ...แต่ตลอดเลยน่ะ ทุกข์ทั้งวัน หากินให้มัน หาอยู่ให้มัน 

กินแล้วไม่ขี้ก็ตาย ขี้ไม่ออกก็ป่วย  ไม่อาบน้ำก็อยู่กับคนก็ไม่ได้ ต้องอาบน้ำแปรงฟัน ทำโน่นทำนี่ กิจวัตร ตลอดทั้งวัน ต้องดูแลเอาใจใส่ร่างกายอันนี้อยู่ตลอด 

มันแตกมันดับอยู่ตลอด โดนแดดก็เหงื่อออก นั่งกลางแดดก็ร้อน เห็นมั้ย ร่างกายนี่มันเป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา ต้องคอยดูแลเอาใจใส่ ขวนขวายหาหยูกหายาให้มันกิน

เดี๋ยวมันก็ปวดหัวตัวร้อน เดี๋ยวมันก็เจ็บๆ ขัดๆ นั่งผิดท่าผิดทางหน่อยก็เคล็ด ขัด นอนเอาคอตกหมอน ก็เดินคอเอียงทั้งวัน เห็นมั้ย ร่างกายสังขารนี่ ต้องคอยบริหารมันอยู่ตลอด ต้องคอยเอาใจใส่ 

มันเป็นภาระ...ภาราหะเว ปัญจักขันธา  ขันธ์ห้ามันเป็นภาระ ...อย่ามัวเมา อย่าคิดว่ามันมีความสุข อย่าคิดว่า...โอ๋ย ได้กายนี้มา เบิกบานสำราญใจในการเกิดมาเป็นมนุษย์

การเกิดมา การมีชีวิตอยู่ มันเป็นเรื่องทุกข์กับทุกข์ทั้งนั้น ...ถ้าเรามีสติคอยหมั่นมาระลึกรู้ก็จะเห็นว่า ทุกกระบวนการ ทุกลมหายใจนี่ มันอยู่ด้วยการบริหารทุกข์ไปแค่นั้นเอง

ประคับประคองขันธ์นี่ไม่ให้มันแตกดับ ...ต้องคอยประคับประคองเลยนะนั่นน่ะ ต้องคอยดูแลเอาใจใส่ ...ใจก็ต้องคอยดูแลมัน กลัวใจมันจะเป็นทุกข์

ต้องคอยสอดส่อง สร้างสภาวะล้อมรอบตัวเราเองให้มันคงที่ ให้มันอยู่ในปัจจัยแวดล้อมที่ใจจะไม่เป็นทุกข์ ...เห็นมั้ย ต้องเอาใจใส่มันอีก ด้วยความไม่รู้น่ะ

กายก็ตลอดวัน ต้องบริหารมัน เช้าก็ต้องหาอะไรกรอกปากมัน กลางวันก็ต้องหาอะไรกรอกปากมัน ระหว่างเช้าถึงกลางวันก็ต้องหาอะไรเหลวๆ ยัดใส่ให้มัน

นั่นน่ะคือความเป็นจริงของกาย...กรอกเข้ากรอกออก เทเข้าไหลออก ...ก่อนเข้าปากก็อร่อย ก็ดี  ออกมาจากทวารทั้งห้าทั้งหก ออกมาเมื่อไหร่เละเทะหมด ไม่ดีหมด

เห็นมั้ย มันน่าลุ่มหลงมัวเมาตรงไหนกายเรา มันเป็นรังของโรค รังของทุกข์ ...อยู่กับมัน ต้องทนอยู่กับมันตั้งเจ็ดสิบแปดสิบปี ยังไม่เบื่อ ยังไม่เข็ด

ตายแล้วมาหาเอาใหม่ สร้างขึ้นมาอีก มาบริหารมันต่ออีก ...เกิดมาอยู่ในโอ่งน้ำคร่ำเก้าเดือน ออกมาก็โยๆ เยๆ พ่ออุ้มไปแม่อุ้มมา กว่าจะโตเข้าอนุบาล เริ่มเรียนอีก โอ้โหแบกตำรา ต้องตื่นเช้านั่งรถไปเรียน

กว่าจะจบ ชั้นนึงๆ โอ้โห กว่าจะจบการเรียน เป็นอิสระ ดูเหมือนเป็นอิสระจากการดูแลของผู้ปกครอง ...ก็เวียนซ้ำซากจำเจอยู่อย่างนี้ ไม่รู้จักเท่าไหร่ มันน่าสนุกตรงไหน 

เพราะนั้น ก็ให้ขวนขวายกลับมาสู่ความไม่มีไม่เป็น กลับมาสู่ความหมด ความจบ ความดับ ความไม่กลับมา ความไม่หวนกลับมาเอาดีเอาโทษ เอาสุขเอาทุกข์ในโลกนี้อีก 

ปล่อยให้คนที่เขาไม่มีปัญญามาเอาดีเอาโทษ เอาสุขเอาทุกข์กันไป ...ทุกอย่างก็จบลงให้ได้ ไม่งั้น เดี๋ยวจะมาเป็นอย่างนี้ เนี่ย เผลอไปเผลอมา...อ้าว กูมีสี่ขา แถมมาอีกสองขา

ใครจะไปรู้...คติที่ไปยังไม่แน่ไม่นอนกัน ...อย่าคิดว่าเกิดทุกชาติจะเป็นคนได้ทุกชาตินะ มันไปได้หมดน่ะ ...เกิดออกมามีเขาอีกด้วยล่ะ ตายห่าเลย 

อย่าคิดว่าการเกิดเป็นสุข แล้วจะได้เป็นอย่างนี้ตลอด ...มันไม่เที่ยง ไม่แน่  แล้วแต่เหตุปัจจัยจะพาไป ...ถ้าลุ่มหลงมัวเมาหรือว่าทำไปตามอารมณ์ ไปได้หมด สวรรค์ นรก ไปเกิดได้ทั้งนั้น


...................................



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น