วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 2/27 (1)


พระอาจารย์
2/27 (530911B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
11 กันยายน 2553
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  3  ช่วงบทความ)

โยม –  ทำยังไงถึงจะเจริญเมตตาเจ้าคะ

พระอาจารย์ –  ไม่ต้องทำอะไร


โยม –  ถ้าไม่พอใจก็รู้

พระอาจารย์ –  รู้เฉยๆ  แยกใจออกมาจากอาการ ...ไม่มีหน้าที่ไปทำอะไรขึ้นมาใหม่ 

อยู่ที่ใจรู้นั่นแหละ...คือเมตตาที่เป็นอัปปมัญญา ...เพราะในขณะที่รู้นั้นน่ะ คือภาวะที่ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย...อนูปวาโท อนูปฆาโต (การไม่กล่าวร้าย การไม่ทำร้ายกัน)


โยม –  ถ้ามันขุ่นๆ อยู่ ก็รู้มันเข้าไป

พระอาจารย์ –  ก็รู้ว่าขุ่น


โยม –  สมมุติว่าไม่พอใจอย่างนี้ค่ะ เราก็แค่รู้ “ไม่พอใจมันอีกแล้วๆ”  ก็รู้ๆ รู้ไปเรื่อยๆ

พระอาจารย์ –  อือ แล้วก็อยู่ที่รู้ เข้าใจมั้ย ...แล้วพวกอาการทั้งหลายทั้งปวงนี่ มันก็จะเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ตั้งอยู่ของมัน ...หมดเหตุปัจจัยก็ดับไป


โยม –  ก็ไม่ต้องไปทำอะไรกับมันเลย

พระอาจารย์ –  ไม่ต้อง ...การที่ไม่ทำอะไรกับมันเลยนี่ คือความหมายว่าหยุดการสร้างมโนกรรม วจีกรรม กายกรรมไปในตัว

เพราะนั้นไอ้เมตตาอย่างที่พวกเราอยากได้ อยากทำน่ะ มันเป็นเรื่องของเมตตาที่เจือด้วยความอยาก

(ถามคนเข้ามาใหม่) –  มาเมื่อไหร่


โยม –  มาถึงเมื่อคืนครับ

พระอาจารย์ –  แล้วเป็นยังไง จิตใจสบายดีไหม


ผู้ถาม –  อยู่นั่นก็ดูใจไปด้วย แล้วก็เห็นว่าไม่ต่างกัน อยู่ที่ไหนก็ไม่ต่างกัน

พระอาจารย์ –  ใจดวงเดียวกัน ...อยู่ในนรกก็ใจอันนี้ อยู่บนสวรรค์ก็ใจอันนี้ อยู่บนโลกมนุษย์ก็ใจอันนี้

แต่ว่าในนรก ในเดรัจฉาน ...การที่สติเข้าไปเห็นใจนี่..จะไม่เห็นเลย เพราะว่ากรรมวิบากที่หนาแน่นมันจะปิดบัง สติไม่เกิด

ในส่วนของสวรรค์..เทวดาก็ยังมีโอกาสได้เห็นใจรู้ใจ ...แต่ว่าความสุขกับเวทนาที่มันฉาบทา มันหนาแน่น จนยากที่จะฟื้นฟูใจขึ้นมา 

สภาวะใจที่ปรากฏด้วยสติจริงๆ นี่...ยากมาก เพราะมันจะมีแต่สุขเวทนา ...นอกจากว่าเทวดาบางองค์บางตนเท่านั้น...ที่มีอุปนิสัยของการบำเพ็ญมาน่ะ 

หรือว่าเคยเป็นมนุษย์ ฤาษีที่เคยบำเพ็ญมา พวกนี้ ก็จะเป็นอุปนิสัยให้ฟื้นคืน ระลึกหวนขึ้นถึงอารมณ์กรรมฐาน หรืออารมณ์ของปัญญาที่จะฟื้นคืนภาวะใจขึ้นมา

เพราะนั้น...สำคัญ เรื่องใจนี่เป็นเรื่องสำคัญ ...ไม่เห็นใจ ไม่รู้ใจ กำหนดสภาวะใจไม่เป็น...ไม่ต้องถามเรื่องมรรคผลนิพพานเลย ...จะไม่เข้าถึง จะไม่เข้าใจอะไรเลย

ถึงถามว่าใครให้มึงนั่ง ใครให้มึงนอน ใครให้มึงนั่งสมาธิ ...ถ้ายังไม่รู้ว่าใครว่า ใครทำ ใครอยากได้ ใครอยากมี ใครอยากเป็น ใครเป็นตัวบงการอยู่ข้างหลัง ...แล้วจับตัวนั้นให้ถูก

ถ้าจับตัวรู้ไม่ถูก ไม่เห็นตัวรู้ ไม่เห็นตัวใจ ไม่เข้าถึงใจตัวเอง ...ไม่มีทางเลยที่จะเกิดเป็นอริยมรรค หรือว่ามรรค..ครรลองแห่งมรรคไม่เกิด ...มีแต่วิ่งออกนอกหมด

สำคัญนะ เรื่องใจรู้..รู้ใจนี่ ...สติเท่านั้นจึงจะดึงสภาวะหรือว่าเปิดสภาวะใจขึ้นมา...ในขณะหนึ่ง ขณิกะหนึ่ง ...อย่าประมาท แค่รู้เฉยๆ แค่รู้นิดรู้หน่อยนี่ ภาวะใจปรากฏแล้ว

แต่เราไม่ต้องไปหาว่ามันอยู่ตรงไหน แล้วจะจับใจตัวเป็นๆ มาผูกมันไว้ จับมันขังกรงเลย จะได้ไม่หายไปไหน ...มันจับไม่ได้น่ะ 

ใจไม่มีอาการ ใจไม่มีสภาวะ ใจไม่มีที่อยู่ ใจไม่มีที่ตั้ง ใจไม่มีรูปพรรณสัณฐาน ...ใจมีสภาวะเดียวคือรู้

เพราะนั้นตัวที่จะจับได้ ตัวที่จะทำให้เกิดสภาวะใจหรือเห็นสภาวะใจ คือรู้ระลึกรู้ขึ้นมา...ด้วยสติ

แล้วหลังจากที่เจริญสติได้ต่อเนื่อง รู้บ่อยๆ ...ความโดดเด่นของสติ ความโดดเด่นของใจก็จะปรากฏชัดขึ้น ...แล้วมันก็จะอยู่ได้ด้วยสัมปชัญญะ...คือรู้ตัว 

มีความรู้รอบ รู้รอบในตัวของมันเอง ...มันก็จะสว่าง มองเห็นอาการได้โดยรอบ  แล้วก็รู้อยู่อย่างนั้น เห็นอยู่อย่างนั้น เป็นธรรมดา ...แยกกันอยู่...ระหว่างขันธ์กับรู้ ขันธ์กับใจ

ก็เหลือแค่กายกับใจ ...ไม่มีกายของเรา ไม่เป็นกายของเรา ไม่เป็นจิตของเรา ...มีแต่กายกับใจ ซึ่งมันก็ยังเป็นใจที่...มันยังไม่ใช่ใจที่แท้จริง

เพราะนั้นไอ้ภาวะรู้ที่มันปรากฏอยู่ภายในแล้วแม้จะแยกมันออก ก็ยังไม่ใช่ใจที่แท้จริง ...มันยังมีอะไรอยู่ในนั้นอีก ที่ยังมี...เพราะว่าถ้าเผลอเมื่อไหร่ กูจะมีปัญหากับมันอยู่เรื่อยน่ะ 

เดี๋ยวกูจะมีปัญหากับอาการนั้น เดี๋ยวกูจะเริ่มมีเงื่อนไขกับตรงนี้ เดี๋ยวกูจะมีเงื่อนไขกับความรู้สึกตรงนั้น ...ยัง ยังไม่จบ เพราะยังไม่ใช่ใจที่เป็นใจเปล่าๆ หรือรู้เปล่า หรือว่ารู้บริสุทธิ์ หรือเป็นใจหนึ่งใจเดียว

มันยังเป็นใจหลายดวง...พร้อมที่จะแตกออกมากับอาการนั้นอาการนี้ ...และเมื่ออาการนั้นแตกออกแล้ว ยังมีสิทธิ์ที่จะหลงไปกับอาการเหล่านี้

สติและสัมปชัญญะจึงต้องละเอียดตามเข้าไปอีก เนี่ย...มันไม่ใช่เรื่องแค่กาย ถ้าหมดจากเรื่องกาย หรือเห็นมันเป็นเรื่องธรรมดา หรือเห็นมันไม่ใช่เราแล้ว ...เรื่องของใจยังเป็นเรื่องใหญ่

เพราะว่าใจยังสกปรกอยู่ ...ไอ้รู้ตัวนั้นยังเป็นรู้ที่ไม่ใช่รู้ที่แท้จริง ยังเป็นรู้ที่มีมลทิน ยังเป็นรู้ที่ยังมีความเศร้าหมองอยู่ภายใน ...แต่เรามองไม่เห็นน่ะ ทั้งๆ ที่มันก็รู้เหมือนกันน่ะ 

แต่ว่ามันจะเห็นก็ต่อเมื่อ...มันยังมีอาการออกมาอยู่ตลอด หมายมั่นในความคิดความจำ ความหมายในอดีต-อนาคต ในสิ่งที่เคยพิจารณา ในสิ่งที่เคยอยากจะรู้อยากจะเห็น 

มันยังมีความกระวนกระวาย กระสับกระส่าย กระเสือกกระสน ดิ้นรน ผลักดัน ขับเคลื่อน..ยังมีแรงขับเคลื่อนจากรู้นั้นออกมาอยู่...ตลอด 

สติต้องคอยเท่าทันอาการต่างๆ นานาเหล่านี้ เล็กมั่ง น้อยมั่ง ใหญ่มั่ง ยาวมั่ง นานมั่ง ที่มันยังเลื่อนไหลออกมา ...ทำความแยบคายภายในไปเรื่อยๆ อย่างนี้

จนมันหมดอาการ จนมันหยุดอาการ จนมันไม่มีอาการอีกแล้ว ถึงจะ..เออ ค่อยวางใจ นี่ ...ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรน่ะอาการนั้น เอาเป็นว่ามันหมดอาการเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น 

ก็หมดหน้าที่ ก็หมดภาระ ก็หมดงานที่จะต้องทำ ...หมดแล้ว เพราะมันไม่มีอาการอะไรให้กูดูอีกแล้ว เนี่ย งานถึงจบ

แต่ถ้ายังมี ...นานๆ ผุด..เอ๊อะ มันยังมีอาการอยู่เว้ย ...นี่ ไม่ได้เว้ย อย่างนี้ยังไม่ได้เว้ย ยังต้องดู สติต้องเป็นกลางต่อ อยู่ในองค์มรรคต่อ มรรคยังไม่ถึงที่สุด ยังไม่ตลอดสาย

ไม่รู้ว่าเขาเรียกขั้นไหนภูมิไหน..กูไม่สน ...ถ้าตราบใดที่จิตยังมีอาการกระเพื่อม หวั่นไหว ส่าย ออกมาเป็นอารมณ์ ทั้งภายในตัวมันเองคือหลงอารมณ์ตัวมันเองก็มี หลงอารมณ์ภายนอกก็ยังมี

สังเกตดู...อ้อ ไม่ได้โว้ย ...ยังต้องคอยสังเกต ตรวจสอบ ด้วยสติสัมปชัญญะ ด้วยญาณทัสสนะ ด้วยความเป็นกลาง ชำระ เพียรชำระ ...อย่าหลงไปตามอาการนั้นๆ

ไม่ว่าอาการนั้นๆ จะดูดีขนาดไหน จะดูน่าเลื่อมใส จะดูน่าใคร่ขนาดไหนก็ตาม นี่ พอถึงภาวะที่เหลือภาวะใจ หรือภาวะที่เป็นนามธรรมหรือนามขันธ์ บางภาวะมันจะละเอียดมาก ประณีตมาก

ดูเหมือนเป็นธรรม ดูเหมือนเป็นที่พึ่งที่อาศัยของเรา ดูเหมือนน่าอยู่น่าจับต้องอย่างยิ่ง ...นี่ มันยังมีอาการที่หลอกเราได้อีก มันไม่ใช่อารมณ์ทุกข์แล้ว มันไม่หลอกด้วยอารมณ์ทุกข์แล้ว

แต่มันหลอกด้วยอารมณ์ที่ละเอียดประณีต...ของความไม่มีไม่เป็น ของความเบา ของความผ่องใส ของความสะอาดบริสุทธิ์ ...แม้แต่ความบริสุทธิ์ยังมาหลอกเป็นอารมณ์ ยังมาหลอกเป็นว่า นี่เป็นใจ

กว่าจะแจ้ง กว่าจะเข้าใจ กว่าจะเรียนรู้กับมัน...โหย กูถูกมันจูงออกไป..เกือบถูกเชือดแล้วกู ขนาดนั้น นั่นน่ะ ...ป็นเรื่องของนามล้วนๆ นะ มันยังไม่จบง่ายๆ

เพราะนั้น อย่าประมาท ไม่ประมาทๆ ...จนกว่าจะแน่ใจ หรือว่ามันจะรู้ด้วยตัวของมันเอง...ว่ามันไม่มีอาการอีกแล้วจริงๆ เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นๆ

ก็ทำหน้าที่ต่อไป การงานก็ทำต่อไป งานภายนอกก็ทำไป ...แต่งานภายในนี่ หรืองานหลักนี่ ทิ้งไม่ได้ ดำเนินไปจนตลอดสายขององค์มรรค

ทั้งหลายทั้งปวง เป็นแค่อาการ จำไว้เลย...ไม่ว่าอะไร มันคือแค่อาการ มองเป็นแค่อาการ ...อย่าไปมองเป็นเรื่องเป็นราว อย่าไปจริงจัง อย่าไปซีเรียส

พอเริ่มแข็ง เริ่มขืน เริ่มฝืน เริ่มจับต้อง เริ่มหมายมั่น ...ให้รู้เลย ตั้งสติขึ้นมา ระลึกขึ้นมา แยกรู้ออกมา แยกใจออกจากอาการ ...อย่าเสียดาย อย่ากังวล อย่าอาลัย 

ในการเข้าไปเสพ ในการเข้าไปเสวย...กามราคะหรือว่าราคะทั้งห้านี่ ...อารมณ์ที่มันเข้าไปพัวพันหรือเข้าไปผูกกับอายตนะทั้งห้านี่ คือความใคร่...ความใคร่ในอารมณ์นั้น

มันหอมหวานน่ะ...บางความคิด บางความรู้สึก บางผัสสะ ...พอจะรู้ แยกรู้ปั๊บ...เสียดายว่ะ มันติดน่ะ มันติด มันไม่อยากออกมารู้แล้วก็เห็นมันเป็นแค่อาการ ...กูอยากจะอยู่กับอาการ กูอยากเป็นกับอาการ

คือความใคร่ในผัสสะ ตาหูจมูกลิ้นกาย ...อ่านหนังสือ ใคร่ในตัวหนังสือก็ยังมีเลย ใคร่ในรูปภาพดารา รูปคนที่เราชอบ หรืออ่านประวัติใคร หรืออ่านอะไรก็ตาม ...เห็นมั้ย มันมีความใคร่

ถ้าให้ปิดหนังสือตอนนั้นน่ะ มันมีความรู้สึกว่า...เสียดายว่ะ ...เห็นมั้ย ความใคร่น่ะ มันถึงให้เราไปแนบแน่น ...พอจะรู้ พอจะละมันน่ะ มันจะเสียดาย เกิดอาการเสียดายในอารมณ์นั้นๆ

ต้องหักหาญ ต้องหัก ...บางครั้งน่ะ ต้องฝึกที่จะทวนรู้ ...แล้วพอรู้ปุ๊บ มันจะเกิดอาการหนึ่งคือเฉยเมย คือกูเคยอ่านมัน พอมาตั้งรู้ๆๆ กูอ่านแล้วกูไม่อยากจะอ่านต่อเลย ไม่รู้จะอ่านทำไม

พอกลับมารู้ รู้ว่ากำลังอ่าน กำลังรู้ว่ากำลังดูหนัง กำลังรู้ว่ากำลังฟังเพลง ...แต่ก่อนเคยฟังด้วยความมัน คือฟังอย่างไร้สติ ไร้สัมปชัญญะ ไร้การแยกกายแยกรู้ แยกหูแยกรู้ แยกเสียงแยกรู้...แล้วกูมันจริงๆ

พอมาตั้งใจฟังแล้วก็รู้ ...เบื่อเลย มันรู้สึกเบื่อเลย ไม่เห็นสนุกเลย ไม่รู้จะฟังทำไม ...แล้วมันบอก "เฮ้ย ช่างมัน ไม่รู้ดีกว่า..เอามันดีกว่า เอามันก่อน" เนี่ย (หัวเราะกัน)

เขาเรียกว่าความใคร่ในอารมณ์ มันใคร่ มันเลิกยาก มันละได้ยาก มนุษย์นี่ ...เพราะมันชอบเสพ ชอบเสวย พึงพอใจในอารมณ์นั้นๆ ในความรู้สึกนั้นๆ ในผัสสะนั้นๆ

แล้วแต่ละคนจะมีจุดบอดหรือจุดที่ข้องนี่ต่างกัน  บางคนก็ข้องทางเสียง บางคนก็ข้องทางรูป บางคนก็ข้องในการเสพกับความคิด ...เหมือนกับยาเสพติดมันมีหลายตัว ยาไอซ์ ยาอี ยาบ้า เฮโรอีน

เห็นมั้ย การให้ความมัวเมาก็แตกต่างกันไป แล้วแต่ว่าขี้ยานั้นจะชอบอะไร ...แต่ละมนุษย์แต่ละคนก็จะมีจุดที่ใคร่จะเสพ..ในรูป ในเสียง ในรส ในกลิ่น

บางคนก็ติดอาหารการกิน บางคนก็ติดน้ำหอม บางคนก็ติดดูหนัง ฟังเพลงเพราะ บางคนก็ติดวัตถุข้าวของ ติดเสื้อผ้าอาภรณ์ ชอบๆ นี่มันจะมีความใคร่ในอารมณ์ต่างๆ

ก็เพียรที่จะเข้าไปทำความจางคลาย ...ยังไม่ต้องละหรอก แค่รู้  ฝืนหน่อย ฝืนรู้หน่อย ฝืนรู้แยกกายแยกใจ แยกอายตนะ แยกรู้ออกมา แยกความรู้สึกสุขกับรู้ออกมา ...แยกออก พยายามแยกออก

มันจะยากก็ต้องฝืน ...ธรรมดา อยากกินของอร่อยน่ะ มันก็ต้องปรุงแต่งสร้างสรรค์ทำมันขึ้นมา ...ถ้าปล่อยมันก็จะเหมือนเดิม ไม่งั้นก็จะกลับสู่อีหรอบเดิม

จิตก็จะไม่มีการพัฒนา ปัญญาก็ไม่พัฒนาขึ้น มันก็ก้าวข้ามอารมณ์นั้นไม่ได้ ...ที่มันก้าวข้ามอารมณ์นั้นไม่ได้ เพราะมันไม่เห็นอารมณ์นั้นไม่เที่ยง

แต่ถ้าเราแยกรู้ออกมาจากอารมณ์ ความรู้สึก ผัสสะ  แล้วก็รู้เฉยๆ ...เราจะเห็นอารมณ์หรืออาการนั้นเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ชัดเจนขึ้น หรือว่าเห็นอาการของไตรลักษณ์

นี่ มันจะเห็นสภาวะไตรลักษณ์ของอาการ หรือว่าของผัสสะนั้นๆ ได้ชัดเจนขึ้น ...ตรงนี้ถึงเรียกว่าปัญญาเกิด...คือเห็น เริ่มเห็นตามความเป็นจริง

แต่ถ้าเข้าไปอยู่กับมันด้วยความลุ่มหลงหรือมัวเมา ...มันขึ้นหรือมันลง..เราไม่รู้เลย ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลย  แต่ว่าพอมันลงแล้วเสียใจลูกเดียว เวลาขึ้นดีใจลูกเดียว

คือกูรับเต็มๆ น่ะ เสวยอย่างเดียว...แต่ไม่รู้เลยว่าทำไมมันถึงเสียใจ ทำไมถึงดีใจ ...เพราะมันไม่เห็นไตรลักษณ์ ไม่มีปัญญา มันเลยเสียใจ มันเลยดีใจ

เพราะมันไม่เห็นว่ามันไม่เที่ยง มันถึงหมดไปไง ...มันไม่ยอมรับ มันก็เสียใจลูกเดียว  แล้วก็มานั่ง..เอ๊ ทำไมเราเสียใจวะ เออ ไปหาเหตุหาผลกับมัน ทำยังไงถึงจะไม่เสียใจ 

ก็ทำให้มึงหายโง่สิ เออ ก็ดูสิ ดู..แยกออกมารู้ แล้วก็เห็น อ๋อ อาการมันเป็นอย่างนี้ๆ ...เพราะนั้น ถ้ารู้ ออกมารู้เฉยๆ กับมันปุ๊บ...แน่นอน การเข้าไปเสวยอารมณ์หรือเวทนา มันจะไม่เหมือนเดิม

มันจะไม่เหมือนเดิม มันจะเริ่มเป็นกลางๆ แค่เป็นกลางๆ แค่เป็นต่างอันต่างแสดง..แล้วก็รู้ ...มีแค่ผู้รู้กับสิ่งที่รู้แค่นั้นเอง ส่วนอารมณ์ก็จะเป็นอารมณ์แบบธรรมดาในลักษณะไม่ขึ้นไม่ลง

แต่มันก็มีนะ อารมณ์มันก็มี เวทนามันก็มี แต่ว่าเป็นแบบกลางๆ ...มันจะไม่เข้าไปแบบมัวเมา ลุ่มหลง เต็มๆ หรือว่าใส่เต็มสตรีมเลยน่ะ ...ถ้าเข้าไปก็เรียกว่าโดนยำ..ยำตีนเข้าไปเลยเต็มๆ คือตั้งใจเข้าไป


(ต่อแทร็ก 2/27  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น