วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 2/27 (2)


พระอาจารย์
2/27 (530911B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
11 กันยายน 2553
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 2/27  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  กิเลสน่ะ มันละไม่ยากหรอก แต่เราไม่ยอมละ ...มันติดๆ มันข้อง..อารมณ์ที่น่าใคร่ อิฎฐารมณ์-อนิฏฐารมณ์ ...ส่วนมากมันจะติดในอารมณ์ที่น่าใคร่..เป็นอิฏฐารมณ์ ในกามฉันทะทั้ง ๕

หรือว่ารูปราคะ ...แต่รูปราคะเป็นอารมณ์ที่ละเอียดกว่า คือเป็นเรื่องของนามธรรมล้วนๆ เป็นเรื่องของนาม คือรูปในจิต เป็นเรื่องของอิมเมจในใจ

การสร้างรูป สร้างความเห็น สร้างความคิดประดิดประดอยเป็นความรู้สึกขึ้นมา อันนี้เรียกว่ารูปราคะ ส่วนไอ้ตาหูจมูกลิ้นกายที่สัมผัสกันนี่เขาเรียกว่ากามฉันทะ กามราคะทั้ง ๕

วิธีแก้มีวิธีเดียว...คือถอยจิตออกมารู้ สติแยกออกมา รู้แล้วก็เห็นเป็นอาการ  แล้วก็...ปัญญาคือต้องเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ของที่ควบคุมได้ แล้วก็สุดท้ายคือดับไป

ให้จิตมันเห็นอย่างนั้น  มันถึงจะละ ถึงจะคลาย จากความหมายมั่นในอาการนั้นๆ ...ไอ้คำว่าหมายมั่นคือความเข้าไปให้ค่าว่ามันเที่ยง ต้องอยู่ หรือต้องไม่มี ...คือมีแต่คำว่าต้อง หรือว่าควร

มันจึงไม่เกิดอาการที่เรียกว่า...สักแต่ว่า ที่มันจะเป็น แล้วแต่มันจะเป็นไป ...มันจะต่างกัน ...เพราะนั้นต้องอบรมบ่มปัญญาขึ้นมาเรื่อยๆ อย่าท้อถอย อย่าขี้เกียจ อย่าขี้เกียจระลึกรู้  

แม้แต่อารมณ์ที่ยากที่จะรู้ ไม่อยากจะถอนออกมา...ก็ต้องฝืนรู้มัน อย่างน้อยรู้แบบฝืนๆ ก็ยังดี จนเป็นนิสัย แยกกายแยกใจอยู่ตลอด แยกอารมณ์แยกใจอยู่ตลอด ด้วยสติ รู้เข้าไป...จนมันมั่นคงๆ

พอมันมั่นคงแล้วมันจะไม่หวั่นไหวแล้ว พอรู้ปั๊บ พั้บเลย...อยู่ที่รู้เลย ...ไม่สน กลายเป็นเรื่องเด็กๆ หมดน่ะ อาการทั้งหลายนี่กลายเป็นเรื่องชิวๆ ไม่ใช่สาระสำคัญอะไร ...ถ้าจิตมันตั้งมั่นมั่นคงแล้ว

แต่กว่าจิตจะตั้งมั่น ใจจะตั้งมั่นมั่นคงด้วยสติด้วยปัญญา  มันต้องทวนรู้บ่อยๆ จึงจะตั้งมั่น ...ไม่ใช่ว่าวันนึงเอาห้าครั้งก็พอแล้ว หรือวันนึง..สิบครั้ง-ยี่สิบครั้งนะ ต้องนับครั้งไม่ถ้วนเลยน่ะ

จนต่อเนื่องน่ะ จิตมันถึงจะตั้งมั่นจริงๆ  แล้วไม่ส่ายแส่ ไม่หวั่นไหว  หนักแน่นเหมือนเพชร เหมือนเหล็กกล้าเลย ...นั่นน่ะ ตั้งมั่นขนาดนั้น รู้อย่างเดียว

ทุกอย่าง กลับมารู้อยู่อย่างเดียวแล้วก็อยู่ที่รู้ ...สติสัมปชัญญะอยู่ตรงรู้เลย รู้เลย..ด้วยปัญญาที่ว่าไม่ออก ไม่ส่ายแส่ไปตามอาการ ไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ ไม่หวั่นไหวไปตามผัสสะทั้งหก

ใครจะบ่นยังไง ใครจะว่ายังไง ใครจะบอกว่าต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้...ไม่สนใจๆ ตั้งมั่นลงไป ...เอาแค่นี้ แค่สติตัวเดียวนี่ รอด ตลอด ถึงไหนถึงกัน

อยากได้อะไร..ได้ ...อยากได้โสดา..ได้ อยากได้สกิทาคา..ได้ อยากได้อนาคา..ได้ อยากได้นิพพาน..ได้ ...สติตัวเดียว ตลอดหมด ...เป็นใบ express น่ะ เขาเรียกว่าบัตรเร่งด่วน (หัวเราะกัน) ผ่านตลอด

ใครบอกว่าไปไม่รอด ติดนั่นข้องนี่ ต้องมีบัตรวีไอพีอย่างนั้น ...กูบอกว่ากูมีบัตรเดียวนี่ ไปได้ ไม่มีใครมาขวางกั้นได้เลย ตัวสติหรือมหาสติปัฏฐานนี่ ผ่านตลอด

ใครบอกว่าต้องอย่างนั้นก่อน ต้องอย่างนี้ก่อน  ต้องผ่านกายก่อน ต้องพิจารณาต้องข้ามเวทนา ...อู๋ย ทำไมมันหลากหลายเงื่อนไขเหลือเกินในการปฏิบัติ หือ

ถ้ามันบอกมากๆ ก็ถาม...ใครให้มึงนั่ง  ถามดู ถ้ามันไม่กระโดดต่อยเอานะ(โยมหัวเราะบอกว่าเดี๋ยวสำนักพัง) ...ใครใช้ให้มึงนั่ง ใครใช้ให้มึงทำความสงบ ใครๆ

เดี๋ยวมันก็จะบอกว่า...อาจารย์องค์นั้น อาจารย์องค์นี้ ...ก็บอก ไม่เกี่ยวกับอาจารย์ มึงอ่ะใคร ใครใช้ให้มึงนั่ง กลับมาดูให้เห็น แล้วค่อยมาคุยกันรู้เรื่อง นี่ ถึงจะมาคุยกับพวกเจริญทางสติปัญญา

ถ้ามันไม่ทวนกลับมาถึงฐาน หรือว่าต้นตอ หรือว่าต้นเหตุที่แท้จริงแล้วนี่ มันคุยกันแบบ...ไปไหนมา สามวาสองศอก บอกให้เลย...ไม่จบ มันคนละเรื่องกัน

เอาประเด็นอะไรไม่รู้มาถกเถียงกัน เอาถูกเอาผิดกับ...ขี้ใครเหม็น ขี้ใครหอม ขี้ใครกองใหญ่ ขี้ใครกองเล็ก เข้าใจมั้ย ว่าเป็นขยะ มันเป็นสิ่งที่ออกมาจากอาการของใจทั้งสิ้น

หลงทั้งนั้นน่ะ ทั้งคนถูกคนผิดน่ะ บอกให้ จะเอาอะไรกับมัน ...ใครเถียงล่ะ ดูดิ  ใครอ่านล่ะ ใครคิด ใครกำลังทำ ใครกำลังพูดน่ะ ...กลับมาอยู่ที่ใจ กลับมารู้ที่ใจ

แค่นั้นเอง ปัญหาหมด จบ สันติ สงบ ระงับ ดับ...ดับหมด ดับหมดทั้งกิเลส ทั้งตัวตน ทั้งเรา ทั้งเขา ดับหมดที่รู้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

แต่ว่ามันปัญญาก็ปัญญาขี้กระผีกหนึ่ง รู้นิดนึงเดี๋ยวก็กูออกไปใส่ใหม่ ออกไปเอาอีกแล้ว ...ต้องกลับมาบ่อยๆ รู้บ่อยๆ กลับมาละภายในของเรา รู้อยู่ภายใน กลับมารู้ๆๆ

สติเท่านั้นถึงจะเป็นตัวระงับ ยับยั้ง ดับ ตัด ละ คลาย จาง ...กลับมารู้ กลับมาอยู่ที่ดวงจิตผู้รู้อยู่ กลับมาอยู่ที่ใจรู้ใจเห็น แล้วทุกอย่างจะเป็นแค่สักแต่ว่า

ทั้งทิฏฐิมานะ อาสวะทั้งหลายทั้งปวง มันก็เป็นแค่อาการ เป็นขยะที่มันล่องลอยออกมาจากใจนั่นแหละ ...อย่าไปเก็บมันเอามาเลย อย่าเอามา เหมือนหมาเน่าลอยน้ำน่ะ ขยะ สวะ ลอยตามน้ำมา

มัวแต่ไปนั่งวิพากษ์วิจารณ์ขยะ หรือว่าเอาขยะอันนั้น แยกขยะนั้นดี ขยะนี้ไม่ดี  แล้วก็เอามาเก็บไว้ในบ้านของตัวเอง ต่อไปบ้านก็รกเลอะเทอะเต็มไปหมด

เรามีแต่จะเอาขยะของเราทิ้งลงน้ำไป ให้มันลอยลงทะเล บ้านจะได้โล่ง เบา สะอาด สว่าง สงบ สันติ บริสุทธิ์ขึ้นมา ...แต่ขณะเดียวกับที่เราเอาขยะออก มันก็ดันมีหมาเน่าลอยเน่าลอยน้ำมา เนี่ย

อู้ย เสียดายของดี ...เก็บเข้าบ้านอีกแล้ว (หัวเราะกัน) เอ้า มือหนึ่งก็เอาออก อีกมือก็เก็บเข้า อย่างนี้ ปัญญาก็เรียกว่าปัญญาทึบ เจริญปัญญาก็เรียกว่าปัญญาทึบอีกแล้ว ไปนั่งถกเถียงเอากฎเกณฑ์อะไรกัน

เพราะนั้นถ้ารู้ว่าหน้าที่อันควรของเราคือ ไม่เอาเข้า เอาออกอย่างเดียว ...ผ่านๆๆ รู้อะไรก็ผ่าน ...ผ่านไม่ได้ก็รู้อยู่ว่าผ่านไม่ได้ รู้อยู่ตรงนั้น ให้รู้อยู่ แยกรู้ออก

ยังข้องอยู่ ยังติดอยู่ก็รู้...รู้ รู้เข้าไป รู้อยู่กับปัจจุบันนั้น ในอาการที่ตั้งอยู่แล้วมันยังไม่ดับไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ...ไม่ต้องไปสงสัย ไม่ต้องลังเล ไม่ต้องไปหาที่มาที่ไป

คือมันตั้งอยู่ก็รู้ว่าตั้งอยู่ มันยังไม่ดับก็รู้ว่ายังไม่ดับ ก็รู้อยู่ในอาการของที่มันตั้งอยู่ในปัจจุบัน ...มันไม่อยู่ไปถึงไหนหรอก ทุกอย่างมีอายุขัย  เดี๋ยวก็ดับ เดี๋ยวก็ผ่าน หายไป

เมื่อวานพระก็มาฟ้องว่าโดนด่า เรื่องทำวัตร เรื่องบิณฑบาต เรื่องอะไร มันก็มีหงุดหงิดรำคาญ เพิ่นบอกว่า ดูจิตนึกว่าจะแน่ เจอเข้าไปก็เละเทะหมด..จิต (หัวเราะ) หวั่นไหว กระทบกระเทือนเลื่อนลั่นไปหมด

ก็บอกแล้วว่า...ทุกอย่างมันเป็นสิ่งสงเคราะห์ มันเป็นการสงเคราะห์จิตทั้งสิ้น อย่าประมาท ...มันไปกระทบอัตตา ไปกระทบตัวตน เดี๋ยวก็แสดงอาการออกไป

ก็เรียนรู้ทุกอย่าง มันเป็นอาจารย์ที่มาบอกมาสอนเรา  มีอะไรก็รู้ รู้ไว้ รู้เฉยๆ รู้เป็นกลาง ...แล้วสุดท้ายก็จะเห็นว่า สักแต่ว่ามี สักแต่ว่าเป็น สักแต่ว่าเกิดขึ้น สักแต่ว่าตั้งอยู่ สักแต่ว่าดับไป

ไม่ใช่เรื่องของใคร ไม่มีของเรา แล้วก็ไม่มีของเขา ...มันเป็นของมันอยู่เช่นนี้ ตั้งแต่ตั้งฟ้าตั้งแผ่นดิน มันก็เป็นอาการอย่างนี้ มันก็มีอาการอยู่เช่นนี้แหละ เป็นธรรมดา

เพราะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่มันตั้ง ทรงอยู่ ปรากฏอยู่  มันเป็นธรรมดาของมันอยู่แล้ว ...การไปการมาของมัน การเกิดการตั้งการดับ มันก็เป็นธรรมดาของเขา

แต่เวลาจิตเรา ใจเรา ตาเรา หูเรา จมูกเรา กายเรา...เข้าไปรับรู้สัมผัสนั้น กลับไม่ยอมธรรมดา...กับสิ่งที่มันตั้งอยู่เป็นธรรมดา เกิดขึ้นเป็นธรรมดา ดับหรือไม่ดับไปเป็นธรรมดา

เวลาเราเข้าไปรับรู้...เราไม่ธรรมดา เห็นว่าไอ้พวกนี้ไม่ธรรมดา ...ตรงนั้นแหละต้องเท่าทัน แล้วก็รู้ว่าเราไม่ยอมรับความธรรมดานั้นๆ ...จิตก็จะเริ่มฉลาดขึ้นๆ แล้วก็..อ๋อ มันเป็นอย่างนี้เอง

เวลามานั่งอยู่รอบข้างเรานี่ ไม่มีทุกข์ ทุกอย่างเป็นธรรมดาหมด ไม่มีปัญหา ต้นไม้ อากาศ ข้าวของ ทุกอย่าง เขาก็ตั้งอยู่ธรรมดาของเขา เขาไม่เคยเป็นสุข เขาไม่เคยเป็นทุกข์ให้ใคร

เขาไม่เคยสร้างสุข เขาไม่เคยสร้างทุกข์ให้ใคร เขาเป็นอะไรตัวเขาเป็นอะไรเขายังไม่รู้เลย ...แต่มันเกิดจากการปรุงแต่งหรือการรวมตัวของสังขารขันธ์ขึ้นมา แล้วก็ตั้งอยู่

แล้วก็มีเหตุปัจจัยให้มีการต่อเนื่องตั้งอยู่ ยังไม่ดับ มันก็โท่โร่อยู่อย่างนั้น ก็เห็นอยู่อย่างนั้น ...เขาไม่เป็นสุขเป็นทุกข์เลยนะนั่นน่ะ แล้วเขาไม่มีเจตนาจะเป็นสุขเป็นทุกข์ให้ใครด้วย

เพราะนั้นถ้าเราแค่รับรู้ด้วยจิตที่เป็นกลางหรือว่าปกติธรรมดา ทุกอย่างไม่เป็นสุขเป็นทุกข์  จิตเราก็ไม่เป็นสุขเป็นทุกข์ กลมกลืนเป็นอันเดียวกัน อยู่ด้วยกันร่วมกันเป็นสันติ

เห็นมั้ย จิตอยู่อย่างนี้สันติ  สิ่งแวดล้อมก็สันติ ...เขาสันติตลอดชาติน่ะ ไม่ใช่ว่าเพิ่งมาสันติตอนนี้..ตอนที่เราเป็นกลางนะ  ถึงจิตไม่เป็นกลาง เราไม่เป็นกลาง...เขาก็สันติ

นี่คือธรรมชาติ ธรรมชาตินี่สันติอยู่แล้ว สงบ สันติ เป็นธรรมดา ...ตั้งแต่ตั้งฟ้าตั้งแผ่นดิน โลกนี้สงบสันติตลอด ในความเป็นไปของเขา

มีแต่มนุษย์ปุถุชนเท่านั้นแหละ ที่เข้าไปมีเงื่อนไขกับ...ไอ้นี่ไม่ถูกหู ไอ้นี่ไม่ถูกตา ไอ้นี่ไม่ถูกใจกูไปหมด ...แล้วเราไม่เท่าทันอาการนั้น จึงไม่เห็นว่าปัญหานั้นมันเกิดที่ไหน

เกิดตรงนี้เหรอ เกิดตรงนั้นเหรอ เกิดตรงโน้นเหรอ...ไม่ใช่ ...เพราะทุกอย่างเขาไม่มีปัญหา เขาเป็นธรรมชาติ เขาเป็นธรรม เขาเป็นกลาง ...มีแต่เราน่ะไม่เป็นกลางกับเขา ...แต่เราไม่เห็น

นี่คือปัญญาต้องกลับมาเห็นอาการตรงนี้บ่อยๆ จนเข้าใจ จนเห็นความเป็นจริงของเหตุที่เกิดทุกข์ ...มันก็จะแก้ตรงนั้น ละอยู่ตรงนั้นแหละ ...ละที่เหตุ ไม่ใช่ปลายเหตุ 

นี่ ต้นตอ อยู่ที่ใจผู้เข้าไปรับรู้นั่นแหละ ...ถึงถามว่าใครนั่ง ใครนอน ใครยืน ใครเดิน ใครเห็น ใครคิด ใครสุข ใครทุกข์ ...กลับมาดู ไอ้ตัวนั้นแหละ มันโท่โร่อยู่ตลอดเวลา...ตัวรู้ใจรู้ 

ตอนแรกมันก็เป็นเรารู้ ตัวเรานั่นแหละ ...เพราะนั้นว่าเวลาเรากลับมาเห็นตัวเรารู้ เราเห็น เรากำลังทำนู่นทำนี่ เรากำลังอะไรอยู่  บางคนก็ใจร้อนใจเร็ว อยากจะไปทำลายตัวเรา ...อย่าไปทำลายมัน ทำลายไม่ได้ 

เพราะมันไม่ใช่เราจริงๆ มันเป็นใจ ...แล้วต่อไปไอ้ความรู้ว่าเรารู้เราเห็นน่ะ มันจะเปลี่ยนไป เป็นแค่รู้เฉยๆ  ตัวของมันก็เป็นแค่ใจรู้เฉยๆ ไม่ใช่เรารู้ ...เป็นใจ 

มันก็จะคลายความเห็นว่าเป็นเราออกไปทีละน้อยๆ ...แล้วเราไม่ต้องไปสงสัยว่ามันคลายยังไง รู้ไปเรื่อยๆ นั่นแหละ มันจะคลายด้วยความเข้าใจ ด้วยปัจจัตตัง 

แต่ว่าเวลานักปฏิบัติเริ่มต้น พอให้กลับมารู้ มันเห็นแล้วก็กลายเป็นว่า “เรารู้ๆ” แล้วก็ดันไปหงุดหงิดกับเราตลอดเวลา รู้สึกว่าความเป็นเรามีอยู่ตลอดเวลา

แต่ว่าไอ้ “เรา” ในความหมายนี้ จริงๆ คืออัตตาผู้รู้...ใจรู้ ดวงจิตผู้รู้นี่..เป็นอัตตาหนึ่งน่ะ ...ใจนี่คือยังมีอัตตาอยู่ในตัวตนที่แท้จริง ที่พร้อมจะแตกออกมาเป็นอารมณ์อาการต่างๆ นานา 

เพราะนั้นใจรู้หรือว่าเรารู้จริงๆ คืออัตตา..ไม่ใช่สักกาย ...ถ้าสักกายนี่ หรือว่าความเห็นว่าเป็นเรานี่ ...ตัวนี้คือไม่มีอาการรู้เลย 

ไม่รู้ว่ากาย ไม่รู้ว่าจิต ไม่รู้ตัวไม่รู้ตน ไม่รู้ว่าเป็นกาย ไม่เห็นกายไม่เห็นจิตในปัจจุบัน คือทุกอย่างมันเป็นของเราหมดเลย...นั่นเป็นสักกายตลอดเลย 

แต่พอเริ่มมารู้เห็น รู้กายเห็นกาย รู้อารมณ์เห็นอารมณ์ แล้วก็ว่า เออ ตัวนี้เป็นสักกาย เป็นเรารู้ ...จริงๆ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เราสักกาย  แต่เป็นอัตตาของใจ คือตัวตนของใจ ...คือตัวตน

ใจก็คือตัวตนหนึ่ง แต่เป็นอัตตาอุปาทานอันหนึ่ง เพราะนั้นใจผู้รู้ หรือว่าผู้รู้จริงๆ นี่ ยังไม่ใช่ใจที่แท้จริงนะ ...ก็ต้องไต่เต้าจากผู้รู้นี่ หรืออัตตาตัวนี้ หรือใจ...เข้าไปสู่ใจ

มันจะเป็นใจก็ต่อเมื่อมันคลาย สำรอก...สำรอกออก สำรอกราคะ สำรอกโทสะ สำรอกโมหะ สำรอกความไม่รู้ สำรอกอวิชชาตัณหาอุปาทาน คลายออกไปๆ ...ตรงนั้นน่ะ ความเป็นใจก็จะปรากฏ 

แต่ว่าบางครั้งบางขณะ ในขณะที่มันเห็นความเกิดดับ มันอาจจะเห็นเข้าไปถึงภาวะที่ไม่มีของใจ ของความดับไปของตัวผู้รู้

คือเข้าไปสู่ภาวะใจที่ไม่มีสัณฐานไม่มีประมาณได้...เป็นช่วง เป็นห้วง เป็นครั้ง ...แล้วสุดท้ายมันก็กลับมาเป็นใจรู้เห็น รู้...เป็นผู้รู้ ตัวรู้เห็น อาการรู้ สภาวะรู้


(ต่อแทร็ก 2/27  ช่วง 3)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น