วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 2/13 (2)


พระอาจารย์
2/13 (530812A)
12 สิงหาคม 2553
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ : ต่อจาก แทร็ก 2/13 ช่วง 1

พระอาจารย์ –  เพราะนั้นการฝึกสติเนี่ย มันก็ดูเหมือนว่าฝึกสติเหมือนกัน  แต่ว่าสติส่วนมากที่เราฝึกกัน ไม่ว่าจะในการนั่งสมาธิ ในการเดินจงกรม ... มันจะฝึกเพื่อให้เป็นไปสู่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง 

คือมันมีเป้าหมาย ...ถ้าได้อารมณ์นั้นแล้วก็พยายามรักษาอารมณ์นั้นไว้ให้ได้นานที่สุดมากที่สุด ...สติมันจึงไม่เป็นกลางสักที สภาวะก็ไม่เป็นกลางสักที 

ถ้าสภาวะที่เป็นกลางนี่ มันจะไปๆ มาๆ  มันจะเป็นอิสระในการเกิดขึ้น การตั้งอยู่ การดับไป...ตามเหตุและปัจจัย ...ไม่ใช่ตามอารมณ์เรา ไม่ใช่ตามการกระทำของเรา หรือการควบคุมของเรา...ไม่เกี่ยวกันเลย

เพราะนั้นเมื่อฝึกสติไปเรื่อยๆ...หมายถึงสติที่เป็นกลางนะ  ปั๊บเนี่ย เบื้องต้น ปัญหาแรกของคนที่เริ่มฝึกสติ แล้วเริ่มรู้จักสติที่เป็นกลางเป็น คือ...

จะเห็นตัวเองไม่ดีเลย จะเห็นจิตของเราไม่ดีเลย จะเห็นความคิดของเราไม่ดีเลย จะเห็นความสับสนวุ่นวาย ความที่ว่าไอ้นู่นไอ้นี่เป็นเรื่องเป็นราวตลอดเวลาเลย ...มันยิ่งดูยิ่งแย่ 

พูดง่ายๆ ต้องอดทนนะ ...ถ้ายิ่งดูยิ่งแย่นี่ให้รู้ไว้เลย เริ่มดีแล้ว เริ่มถูกแล้ว (หัวเราะกัน) ...แต่ถ้ายิ่งดูยิ่งดีนี่ ให้สงสัยไว้ก่อน...ให้เริ่มสงสัยไว้ก่อนว่าเข้าไปบังคับควบคุมรึเปล่า มันไปปิดบังตัวตนที่แท้จริงรึเปล่า 

แต่ถ้าดูแล้วดีแล้ว ด้วยความที่เรามั่นใจว่าเราไม่ได้ไปปิดบังมัน แล้วมันเป็นธรรมชาติของมัน ...แปลว่าจิตมันเริ่มคลายออกแล้ว มันเริ่มคลี่คลายออกจากรูปและนาม การเข้าไปหมายมั่นรูปและนาม 

เมื่อมันคลายออกจากการเข้าไปหมายมั่นรูปและนาม จิตมันจะเริ่มอยู่ในอาการที่ว่าเป็นปกติ เป็นธรรมดา ...ได้ยินคำพูด เห็นอาการทางตา ประสบกับเรื่องราวต่างๆ นานา รับรู้แล้วปุ๊บ...ก็เป็นปกติ มองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา 

แปลว่าจิตมันเริ่มจางคลายออกแล้ว ...มีความคิดเกิดขึ้นก็ไม่ได้ทุรนทุราย  จำได้ว่าเขาว่าให้เราอย่างนั้น เขาพูดอย่างนี้ เขาแสดงอาการต่อเราอย่างนั้นอย่างนี้  พอนึกขึ้นมาได้ จำขึ้นมาได้ก็เฉยๆ ไม่ได้ตีโพยตีพายหรือว่าหูแดงตาแดง ...อย่างนี้ จิตมันเริ่มวางได้ในระดับนึง

ก็อยู่อย่างนั้นน่ะ อยู่กับปกติของการรับรู้ไปเรื่อยๆ ...จนกว่ามันขาดกัน ขาดออกจากรูปและนามที่เรารับรู้ เรียกว่าต่างคนต่างอยู่ ...มันจะขาด ...ถ้ามันจะขาดแล้วมันจะขาดแบบต่างคนต่างอยู่  

ตาก็เห็นรูป สักแต่ว่าเห็น  หูได้ยินเสียงก็สักแต่ว่าได้ยิน  จิตมีอาการต่างๆ นานา ความคิดความปรุงความแต่ง ความจำได้ ความรู้สึก ก็สักแต่ว่าจิต  อารมณ์ต่างๆ นานาที่ปรากฏขึ้น ก็สักแต่ว่าธรรม 

เนี่ย  มันจะแยกกันอยู่ แล้วไม่เข้ามาพัวพัน มาปนเปกัน มาเป็นของเราของเขา ...ตรงนี้จิตมันก็เริ่มมีความสุขมากขึ้น แต่ไม่ใช่สุขแบบกินข้าวอิ่ม ...สุขแบบไม่มีอะไร 

สุขแบบไม่ไปยินดียินร้าย และก็สุขแบบไม่เข้าไปมีอะไรกับมัน อย่างเนี้ย เขาเรียกว่ามีความสุขแล้ว ...แต่เป็นความสุขแบบเฉยๆ น่ะ ไม่ใช่สุขแบบ หูย  ตื่นเต้นดีใจหรือปีติ ไม่ใช่สุขแบบนั้น 

แต่เป็นสุขที่ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเขา เป็นธรรมดา... สุขที่เป็นธรรมดา ท่านเรียกว่าเป็นสุข ...แล้วจะไม่ก่อภพ จะไม่ก่อเกิดความพัวพัน กับอาการ กับรูป กับนาม...ทั้งของเราเอง ทั้งของผู้อื่น 

อย่าว่าแต่ของภายนอกเลย แม้แต่รูปนามของตัวเองก็ยังแบบ...ดูเมื่อไหร่ก็เห็นเป็นเฉยๆ ไม่ได้ไปเดือดเนื้อร้อนใจอะไรกับมัน ไม่ได้ไปดีอกดีใจอะไรกับมัน ไม่ได้เข้าไปยินดี ไม่ได้เข้าไปยินร้ายกับอาการทางกาย กับอาการทางจิต ...มันจะอยู่อย่างนั้นเป็นปกติ

แล้วความปกตินั่นแหละจะเป็นปกติมากขึ้นๆ เป็นธรรมดามากขึ้นๆ นานขึ้น ต่อเนื่องขึ้น ...จนมันเป็นธรรมชาติ  ขันธ์ก็ส่วนขันธ์...ดำเนินไป  ธรรมชาติของใจรู้ก็รู้อย่างเดียว รู้เฉยๆ 

รู้เฉยๆ เป็นธรรมดา ไม่ไปบวก ไม่ไปลบ ...ทุกอย่างก็ดำเนินไป  โลกก็หมุนไป ขวาไปซ้าย ซ้ายไปขวา ...ก็ว่าไป เรื่องของเขา 

ไม่ใช่เรื่องของเราที่จะไประราน เข้าไปมีเข้าไปเป็นอะไรกับเขา  หรือเข้าไปตั้งความเห็นใดความเห็นหนึ่งกับเขา เพื่อให้เกิดความเปรียบเทียบนั่นเปรียบเทียบนี่ 

เห็นมั้ย อยู่อย่างนั้นน่ะ เขาเรียกว่าอยู่แบบอิสระ ไม่ข้องเกี่ยวกัน ไม่พัวพันกัน ...อยู่แบบเป็นกลางๆ อยู่ในมัชฌิมาตลอด

มัชฌิมาก็จะแข็งแกร่งมากขึ้น เป็นกลางมากขึ้น ไม่หวั่นไหว ไม่กระเทือน ...เห็นมั้ย ท่านเปรียบไว้ว่าจิตพระอรหันต์ จิตพระอริยะท่านหนักแน่นเหมือนแผ่นดิน คือท่านไม่หวั่นไหวไปตามอาการของรูปและนามที่เปลี่ยน 

เพราะรูปและนามนี่มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันไม่คงที่เลย ...แต่พอมันขยับนิดนึง ตอนนี้ พวกเราเดือดร้อนแล้ว มากขึ้นก็เดือดร้อน น้อยลงก็เดือดร้อน...ดูเอา  เดี๋ยวก็ยินดี เดี๋ยวก็ยินร้าย ...ตลอดเวลา 

คือไม่ค่อยยอมรับมันเลยน่ะ ...เพราะเราจะมีค่ามาตรฐานของความสุขของเราอยู่เฉพาะแต่ละคน  ถ้าอย่างนี้ปุ๊บ..ผิดมาตรฐานกูแล้ว กูจะต้องเดือดร้อนแล้ว ...มันก็เตรียมเดือดร้อนเลย เตรียมเป็นทุกข์เลย 

อันนี้ได้มาตรฐาน...เอาเลย คว้าเลย งับปั๊บ จับ ดึงเลย ผูกไว้เลย ...ทั้งๆ ที่ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้เราไปยุ่งกับเขาไม่ได้เลยนะ  แตะนิดเดียว...เดือดร้อนแล้ว 

บอกให้เลยว่าจิตเวลามันขาดจากกันแล้ว เวลาออกมาแตะนี่ ...แค่แตะนิดเดียวนี่เหมือนจับของร้อนเลย มันจะพั้บเลยทันที  ...นี่ ปัญญานะ ที่มันเห็นละเอียดมากขึ้น 

แค่ออกมารับรู้ด้วยอาการที่ยึดมั่นถือมั่น หรือจะเข้าไปมีเข้าไปเป็นนี่ แค่ขยับออกมาพั้บนี่ มันถอยเลย ...เหมือนเราจับกาน้ำร้อนเลยน่ะ มันเป็นอย่างนั้น

แต่ตอนนี้เราไม่ใช่แค่แตะ หูย...กอด เอามาเทิดทูนบูชา หวงแหน  ตัวก็เน่าเฟะร้อนพองอยู่แต่ไม่รู้ตัวเลย  นี่...คือมิจฉาทิฏฐินะ ...แล้วก็มาบ่น "ทำไมถึงทุกข์จังๆๆ" ...ไอ้ตัวกูก็กอดจัง แล้วก็บอกทำไมกูทุกข์จังๆ 

มิจฉาทิฏฐิมันไปปิดบังหมดเลย ...แม้แต่เริ่มการปฏิบัติ  พอเริ่มปฏิบัติก็ไขว่คว้าไว้เลย หาก่อนเลย  หาสภาวะใหม่ หาอารมณ์ใหม่ หาความสุขที่ใหม่กว่า ละเอียดกว่า ประณีตกว่า 

แค่ตั้งท่าไว้แค่นี้ เราบอกเลย...ผิดแล้ว  เพราะสมาธิหรือสติหรือว่าปัญญาจริงๆ นี่ ไม่ได้ไปเล่าเรียนของใหม่ หรือไปได้ของใหม่เลย ...แต่เป็นการกลับมาเห็นตามความเป็นจริงเท่าที่มีเท่าที่เป็นในปัจจุบันต่างหาก 

แล้วมาสำเหนียกศึกษากระบวนการของมัน เห็นกระบวนการของมัน ว่ามันเกิดอย่างไร มันมาจากไหน อะไรเป็นปัจจัยให้มันตั้งอยู่ อะไรเป็นปัจจัยให้มันตั้งอยู่นาน อะไรเป็นปัจจัยให้มันตั้งอยู่สั้น อะไรเป็นปัจจัยให้มันดับลง 

เนี่ย มันมี มันแสดงอยู่ตลอดเวลา ...แต่เราไม่เข้าใจ ไม่เห็นมัน  แล้วพยายามจะไปหา ไปค้น ...ถ้ายิ่งหายิ่งค้นน่ะยิ่งไม่เจอ ...อยู่เฉยๆ แล้วก็ดู สังเกตมัน 

ครั้งแรกไม่เห็น...ไม่ต้องกลัว  เดี๋ยวเกิดใหม่...ดูใหม่ เกิดอีก...ดูอีก ...เดี๋ยวมันจะไวขึ้น จะละเอียดขึ้น มันก็...อ๋อ ก่อนไอ้นี่เกิด ไอ้นี่เกิดก่อน ครั้งก่อนยังไม่เคยเห็น พอมาดูครั้งนี้ เอ้า เห็นแล้วโว้ย ไอ้นี่เกิดก่อนเว้ยถึงไอ้นี้เกิดอ่ะ 

มันจะเริ่มละเอียดลออขึ้น มากขึ้น ไวขึ้น เพื่อให้กลับมาเห็นกระบวนการหรือว่าปัจจยาการของมัน ว่าสิ่งนี้เกิด...สิ่งนี้จึงเกิด สิ่งนี้เกิด...สิ่งนี้จึงเกิดๆ ...แล้วมันจะเห็นจนถึงว่า “ต้น” ของปัจจยาการคืออะไร 

เหมือนกับแม่น้ำปิงทั้งสายน่ะ เราใช้น้ำอาบใช้กิน ...แต่เราไม่เคยรู้ว่าต้นน้ำจริงๆ มันอยู่ที่ไหน มีแต่ใช้อย่างเดียว กินอย่างเดียว 

หรือเอามาเล่นน้ำ เอาน้ำไปสาดคนอื่นมั่งเวลาสงกรานต์ เอาน้ำมาอาบมาชำระสิ่งโสโครกสกปรกออกไปมั่ง ...ใช้กันลูกเดียว แต่ไม่เคยรู้เลยว่าต้นน้ำของมันจริงๆ มันเป็นยังไงมายังไง 

เหมือนกับการที่เราอยู่กับอารมณ์ ใช้กับความรู้สึก ใช้กับอาการนี้ ก็มีดีมั่งไม่ดีมั่ง ...แต่ไม่เคยรู้เลยว่า ไอ้ที่เราอยู่กับมันนี่ ใช้กับมันนี่ มันมาอย่างไร อะไรเป็นปัจจัยให้มันมา 


โยม  ไม่เข้าใจคำว่านาม ...รูปพอเข้าใจ

พระอาจารย์ –  ทุกสิ่งทุกอย่างที่จับต้องไม่ได้น่ะ

โยม –  ถ้าอารมณ์เป็นนามไหมคะ 

พระอาจารย์ –  เป็น   

โยม –  อย่างสมมุติเวลาท่านพูดอย่างนี้ค่ะ  ตอนนี้พอใจ ...เสียงนี่มันเป็นรูปใช่มั้ยคะ 

พระอาจารย์ –  ความรู้สึกทั้งหมด นี่ จับต้องไม่ได้...คือนามหมด แม้จะเป็นเสียง เข้าใจมั้ย ถือว่าเป็นนามซะ ...จริงๆ ไม่ต้องรู้ก็ได้ ไม่ต้องไปแยกรูปแยกนามอะไรด้วย


โยม  หนูก็ว่าไม่ต้องแยกก็ได้ ทำให้มันงงเปล่า ๆ แค่เราเห็นแล้วเราก็ตัดจบพอ

พระอาจารย์ –  เออ ทั้งหมดคือรูปและนาม ทั้งหมดมีอยู่สองอย่าง ...จับต้องได้คือรูป ทุกอย่างที่จับต้องได้ ...แล้วไม่ต้องไปรู้มากกว่านั้น ไม่งั้นแล้วมันจะคอยไป..."เอ๊ ไอ้นี่รูปรึเปล่า ไอ้นี่นามรึเปล่า"   

โยม –  นั่นนะสิคะ 

พระอาจารย์ –  เวลาเรายิงธนูโดนโยมนี่ หมอเขามารักษา แล้วเราบอก "หมออย่าเพิ่ง ใครยิงมานี่ ธนูนี่มันจากไหน จากไม้ต้นไหน อย่าเพิ่งรักษานะ หนูยังไม่รู้เลยค่ะ มันแหลมรึเปล่า คนทำนี่อายุเท่าไหร่" ... เข้าใจมั้ย 

หมอก็จะบอก "งั้นก็ตายไปเหอะ" ... คือไม่ต้องรู้ด้วยซ้ำ  มันเจ็บ...ก็รักษา รู้...ถอนออก...จบ  

ไม่ต้องว่า "มันจะมาจากไหน มันจะมาจากอะไร มันคืออะไร ใครเป็นคนทำ ใครเป็นคนยิง ยิงมาไกลเท่าไหร่ มันใช้วิธีการไหนยิง มันนั่งยิงหรือมันนอนยิงหรือมันยืนยิง" ... เข้าใจรึเปล่า 

เอาแค่ว่าเดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้ อย่างนี้ "ถอนออกเลยหมอ ตายก็ตาย เจ็บก็เจ็บ เป็นก็เป็น อยู่ก็อยู่" ... ทำไป แค่นี้เอง คือรับรู้ไปแค่ปัจจุบันตรงๆ


โยม –  อาจารย์คะ เวลานั่งสมาธิ จิตมันไม่นิ่ง

พระอาจารย์ –  ไม่นิ่งก็ไม่นิ่ง      

โยม –  มันง่วงนอนฮ่ะ   

พระอาจารย์ –  ง่วงนอนก็ลืมตา ...ถ้าง่วงมากๆ ก็ไปนอนเลย 

โยม –  ก็ไม่ถึงขนาดนั้น

พระอาจารย์ –  งั้นก็ลืมตา

โยม  แล้วใจมันจะไหล

พระอาจารย์ –  ก็รู้ว่าไหล ให้รู้อยู่ว่ามันเป็นยังไง  รู้เฉยๆ ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้น แค่นั้นเอง ...คือที่โยมเป็นทุกข์ เพราะโยมว่าจะไปหาอาการที่ขัดแย้งกับมัน แล้วมันไม่ได้ แค่นั้นเอง 

แต่ถ้าเราไม่ไปตั้งค่าว่าเราจะต้องสงบ หรือเราจะต้องแก้อารมณ์นี้ให้ได้  โยมจะไม่เป็นทุกข์เลย  แค่ยอมรับและรู้ว่า...เออ ตอนนี้กำลังง่วง...รู้ว่าง่วง  กำลังไหล...ก็รู้ว่ากำลังไหล 


โยม –  มันแยกไม่ได้   

พระอาจารย์ –  กลับมารู้กาย ...กลับมารู้ว่ากำลังนั่ง เห็นท่านั่ง    

โยม –  มันนั่งนานไม่ค่อยได้ 

พระอาจารย์ –  เดิน ขยับ ...อะไรก็ได้ให้มันตื่น ให้มันตื่นอยู่ในปัจจุบัน เข้าใจมั้ย  พยายามให้มันตื่นรู้กับปัจจุบัน สงบไม่ต้องเอา เอารู้ปัจจุบัน เอาให้รู้ ...โยมกำหนดอะไร  

โยม  พุทโธฮ่ะ  บางทีก็ทำยกมือเคลื่อนไหว เพื่อจะทำให้รู้กายว่ามันเคลื่อนไหว ...แต่มันก็ยังไหลไป มันไม่ค่อยอยู่ที่รู้ มันไหลไปอยู่ที่มือ

พระอาจารย์ –  ก็พยายามกลับมาที่กาย ต้องพยายาม ... แต่ถ้ามันไม่ไหวจริงๆ แล้ว ให้เปลี่ยนอิริยาบถเลย เลิกตั้งใจดูกับมันเลย


โยม –  คือเห็นพระอาจารย์ว่าบางทีต้องทำตามรูปแบบบ้าง ไหว้พระสวดมนต์เช้าเย็น   

พระอาจารย์ –  ใช่   

โยม –  ก็ทำมาตลอดแต่มันก็ไม่ไปถึงไหน  ก็คิดว่า...เอ มันแย่แล้ว

พระอาจารย์ –  ก็ลองไม่ทำตามรูปแบบซะมั่ง ...นั่งเฉยๆ อยู่เฉยๆ ...ลองอยู่เฉยๆ ดู ลองไม่ทำอะไรดู    

โยม  มันก็ฟุ้งฮ่ะ  

พระอาจารย์ –  ฟุ้งก็รู้ว่าฟุ้ง ...ปล่อยให้มันเป็นอิสระซะมั่ง อย่าไปเอาชนะมัน 

โยม –  เราไปเอาชนะมันใช่ไหมฮะ  

พระอาจารย์ –  อือ ปัญหามันอยู่ที่ โยมจะเอาชนะมัน      

โยม –  ใช่ฮ่ะ

พระอาจารย์ –  ก็ลองไม่เอาชนะมัน แล้วก็ปล่อยให้มันเป็นอิสระดู ...ไม่ต้องกลัวอะไร เพราะไม่ได้อะไรอยู่แล้ว ...ให้เรากลับมาเห็นว่ามันเป็นอะไรอยู่ แค่นั้นก่อน เดี๋ยวความสงบจะตามมาเอง 

แต่ข้อสำคัญคือตอนนี้เราพยายามไปเลือก  เราไม่พอใจอาการที่เกิดขึ้นตอนนี้ของเราเลย แล้วพยายามจะแก้มัน พยายามจะเอาชนะมัน พยายามจะผลักดันมันออกไป ...ตรงนี้คือปัญหา คือไม่ยอมรับ

แต่ถ้าเรายอมรับ ...ช่างมัน ไม่คิดจะเอาชนะอะไรมันแล้ว ต่างคนต่างอยู่  มีอะไรก็มี อยากเป็นอะไรก็เป็น ...แล้วก็รู้กับมัน ดูมันไป ไหลก็ไหล  ดูซิ มันจะไหลไปจนตายมั้ย  

ลองดู ให้ลองดูบ้าง อย่าไปฟิกซ์ว่าต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้เท่านั้นนะ ...เครียดนะ จะกังวลแล้วก็ลังเล แล้วก็สงสัย ขุ่นมัวอยู่ตลอด ไม่รู้จะหาวิธีไหน ร้อยแปด จะเอาชนะมันให้ได้อยู่ตลอดเวลา คิดหาทางแก้ให้ได้อยู่ตลอดอย่างเนี้ย 

คือไม่ต้องแก้มันเลย ...ก็บอกแล้วขันธ์ ก็ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของขันธ์  อย่าไปบอกว่ามันไม่ดี ...ถ้าเราไปตั้งค่าว่ามันไม่ดีปุ๊บ เราจะต้องเอาชนะมัน 

มองในแง่ว่ามันเป็นธรรมชาติของจิต มันเป็นธรรมชาติของอาการของจิต  แล้วก็ไม่ต้องไปเดือดร้อนกับมันมาก ...ยอมรับมันในระดับนึง แค่นี้ เราจะอยู่กับมันด้วยความสันติมากขึ้น

แต่ตอนนี้โยมไม่สันติกับมันเลย โยมเป็นปฏิฆะ หงุดหงิดรำคาญกับตัวของเจ้าของ โดยคิดเอาคนอื่นเป็นมาตรฐาน คนอื่นเขาไม่เห็นเป็นยังงี้ ทำไมเราเป็น ...อะไรอย่างนี้

บอกแล้วว่าการปฏิบัติธรรมไม่ใช่ทำอะไรขึ้นมาใหม่  แต่กลับมาเห็นอาการของเรานั่นแหละ ตามความเป็นจริง ...ต้องอดทนหน่อย  อย่าไปหวังผลอย่างเดียว อย่าไปเอาผลมาเป็นตัวตั้ง 

ยอมรับกับทุกข์ในปัจจุบัน ...เดี๋ยวมันจะค่อยๆ พัฒนาขึ้นมา แล้วไม่ต้องถามด้วยว่ามันจะพัฒนาไปยังไง ...มันพัฒนาของมันเอง (หัวเราะ) ไม่ต้องรู้ ไม่ต้องไปคาด


โยม  ค่ะ

พระอาจารย์ –  มันจะไปคาดถึงอนาคต แล้วเราก็จะไปตั้งท่าเตรียมรออนาคตต่อไป  


(ต่อ...แทร็ก 2/14) 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น