วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

แทร็ก 2/11


พระอาจารย์
2/11 (530807 B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
7 สิงหาคม 2553


พระอาจารย์ –  เอ้า มีอะไรสงสัยจะถามมั้ย  

โยม  อยากรู้ว่าบางทีเราก็คิดว่าเรารู้ ปฏิบัติแล้วแบบ..ระหว่างโล่งมีความสุขเวลาสวดมนต์ เวลาพูดกับคนเราก็คิดก่อน   แต่เวลาเกิดเหตุการณ์อะไรแล้วรู้สึกท้อใจว่าเราทำไม..ที่เรียนมาหรือว่าตั้งใจที่จะเรียนรู้นี่ เหมือนไม่ได้ความ 

เกี่ยวกับคนรอบด้านก็มองว่าเราก็เป๋ไป แล้วก็เหมือนไม่ได้ผลอะไร ที่แล้วมาทำมาเหมือนไม่ได้ผลเลย ช่วยอะไรไม่ได้เจ้าค่ะ รู้สึกท้อใจว่า...เอ๊ะ เราจะเดินไปทางไหน  บางครั้งก็เหมือนดูแล้วก็ดับไปได้ บางครั้งก็เหมือนทุกข์มากกว่าเก่าเจ้าค่ะ 

ก็เลยไม่รู้ว่า..ไม่รู้จะเดินทางไหน ว่ารู้อย่างไรถึงรู้ให้ถูกต้องน่ะเจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –   รู้เข้าไป อะไรเกิดขึ้นก็รู้ ...สงสัยก็รู้ กังวลก็รู้ กลัวก็รู้ ...รู้เข้าไปเหอะ อะไรเกิดขึ้นให้รู้ นั่นแหละ ไม่รู้ถูกหรือรู้ผิดน่ะ รู้อย่างเดียว...เป็นรู้อันเดียวกันหมดน่ะ


โยม –  รู้แล้วก็เป็นทุกข์เจ้าค่ะ   

พระอาจารย์ –  ทุกข์ก็รู้ ไม่สบายใจก็รู้ ...อะไรๆ ก็กลับมารู้  

โยม –  แต่ในขณะที่รู้นั่น แบบ..ไม่รู้เจ้าค่ะ ว่ารู้

พระอาจารย์ –  ก็พยายามรู้เข้าไป  


โยม  แล้วเราจะวัดมาตรฐานตรงไหนคะ เช่น   เวลาที่เราพูดอย่างนี้เจ้าค่ะ แบบโกรธ โมโห อย่างนี้ ควบคุมอารมณ์ไม่ได้เป็นบางครั้ง บางครั้งก็ได้  

แต่พอกลับมาอยู่กับตัวเอง พอคิดขึ้นใหม่ก็โมโหเจ้าค่ะ  เลยกลายเป็นว่า เราคิดว่าเรารู้แล้ว ควบคุมอะไรได้แล้ว ก็สงบดี  แต่พอสักพักนึงมันก็ไม่ใช่ มันก็ไม่หายเจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  ไม่หายก็ไม่หาย  

โยม –  ไม่หายหรือเจ้าคะ ก็...อยากเป็นคนดีเจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  ก็รู้ว่าอยากเป็นคนดี (โยมหัวเราะกัน)


โยม –  อยากเป็นคนดูดี เป็นคนดี เรียบร้อย ไม่พูดจา..ไม่โกรธใครเจ้าค่ะ  

พระอาจารย์ –  นั่นแหละคือปัญหา...ปัญหาคือตรงนั้นแหละ

โยม  แต่มักจะกดข่มได้ พอสักพักก็จะแรงมาก แล้วก็เหมือนหลุดไปเลยเจ้าค่ะ  

พระอาจารย์ –  ไอ้กดข่มได้...นั่นก็ผิดแล้ว 


โยม –  อ๋อ ...เหมือนไม่รู้เจ้าค่ะ ไม่รู้เจ้าค่ะก็ฟังมาตลอด แล้วก็สวดมนต์ไหว้พระ ...แต่ก็คิดว่าตัวเองคงแย่มากเจ้าค่ะ      

พระอาจารย์ –  บอกแล้วว่า "สติ" เป็นแค่ยาม ...รู้จักคำว่า “ยาม” มั้ย   

โยม –  รู้ค่ะ   

พระอาจารย์ –  ยามทำหน้าที่อะไร

โยม  ดูเฉยๆ  ดูแล้วก็คอย..

พระอาจารย์ –  แล้วตอนนี้สติของโยมเป็นยามรึเปล่า  

โยม –  ไม่ใช่ค่ะ เหมือนมีความอยากที่จะควบคุมให้...ไม่เป็นทุกข์  

พระอาจารย์ –   จะไปเป็นผู้จัดการสิ  

โยม (อีกคน)   (หัวเราะพูดกันเอง) อยากจะเป็นผู้จัดการ 

พระอาจารย์ –  เปลี่ยนตำแหน่งจากยามเป็นผู้จัดการ แล้วก็จะไปเป็นเจ้าของบริษัทรึเปล่า..ใช่ป่าว  

โยม  ใช่ ..จะควบคุมเจ้าค่ะ  

พระอาจารย์ – เออ นั่นแหละ แล้วใครบอกว่าบริษัทนี้เป็นของโยม   


โยม –  มันโกรธแล้วมันเป็นทุกข์เจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  ใครบอกว่ามันเป็นของโยม ทึกทักเอารึเปล่า ...ทึกทักเอาเองน่ะ ทึกทักเอาเองว่ามันเป็นของโยมเหรอ  

กายนี้มันบอกมั้ยว่ามันเป็นของโยม จิตนี้มันบอกมั้ยว่ามันเป็นของโยม ...แต่โยมพยายามจะเข้าไปเทคโอเวอร์อยู่เรื่อย


โยม  ใช่ เจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  โดยเข้าใจว่าบริษัทนี้ไม่ดีเลย ไม่ได้ดั่งใจกูเลย 

สติที่ถูกต้องน่ะ บอกแล้วว่าทำหน้าที่เป็นยาม...รู้ยังไง มีแต่รู้...ครับผมๆๆ ...ผ่าน ครับผม...ผ่าน  รู้เฉยๆ ...ใครเข้าก็ได้ใครออกก็ได้ครับ ผมมีหน้าที่...ผมยืนเป็นยามเฝ้าดูอย่างเดียวครับ 

คุณจะเข้าไปทำอะไรกับบริษัทคุณไปทำ คุณจะไปทำให้ดีกับบริษัทก็ทำ ...ผมมีหน้าที่รู้เฉยๆ ครับ ผมอยู่หน้าประตูเป็นยามครับ 

เข้าใจคำว่า “สติ” มั้ย ทีนี้ ...แล้วมันจึงจะเห็นว่าบริษัทนี้ไม่ใช่ของกู ...แต่เราพยายามจะยกระดับตัวเองอยู่เรื่อย  จะมาเป็นซีอีโอรึไง 

หยุด...หยุดเป้าหมาย หยุดการจะเป็นคนดี หยุดเข้าไปให้ความหมายของคำว่าดีหรือไม่ดี  ถ้าเรามีความหมายว่าดีเมื่อไหร่ คนเขาพูดว่าดีก็ดี  ถ้าเรามีความหมายว่าดีเมื่อไหร่ คนเขาว่าไม่ดี เราก็ไม่ดี ...ทุกข์มันอยู่แค่นั้นแหละ


โยม –  หยุดตั้งเป้าหมาย...    

พระอาจารย์ –  ที่จะเป็นคนดี ที่จะให้จิตดี ...บอกแล้วว่าติดก็รู้ติด มีก็รู้ว่ามี มากก็รู้ว่ามาก น้อยก็รู้ว่าน้อย ไม่มีอะไรก็รู้ว่าไม่มีอะไร   


โยม –  มันติดเหมือนเหนียวแน่นเลยเจ้าค่ะ เหมือนทำให้เราเป็นทุกข์...เพราะว่าตัวที่เราอยากมีลักษณะดูดี ...เป็นคนดี ทำให้เราทุกข์เจ้าค่ะ  แต่ว่าบางทีก็รู้ บางทีก็ไม่รู้ แล้วก็กลับมาเป็นสันดานเดิมอีกนี่ เจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  ก็บอกแล้ว ความเพียร อย่าถอย

โยม  อย่าถอย ...แล้วทำยังไงคะ ความเพียรน่ะค่ะ  

พระอาจารย์ –  ก็รู้ไป ...อดทน   

โยม –  อดทนนะเจ้าคะ ...ส่วนใหญ่จะเห็นไม่ค่อยดี 

พระอาจารย์ –  ไม่ดีก็รู้ว่าไม่ดี   

โยม –  อ้อ เจ้าค่ะ  

พระอาจารย์ –  รู้ไปตรงๆ นั่นแหละ ดูไป ดูความไม่ดีของตัวจนตายน่ะ ดูเข้าไป ...ไม่ต้องมาดูว่าแล้วจะได้อะไร แล้วมันจะดีขึ้น ...ไม่มีดีขึ้นหรอก มีหน้าที่ดูอย่างเดียว ไม่ใช่ไปดูให้เป็นอะไรขึ้นมา  


โยม  ไม่รู้จะดูให้เป็นอะไรขึ้นมา 

พระอาจารย์ –  ดูกายสิ เห็นกายมั้ย 

โยม –  เห็นเจ้าค่ะ 

พระอาจารย์ –  ดูไปดูมาแล้วกายเหมือนเดิมป่าว หน้าตามันเปลี่ยนไปมั้ย

โยม –  ถ้าดูกระจกก็เปลี่ยนค่ะ...เปลี่ยนเป็นบางครั้ง ...(หัวเราะ) บางครั้ง แต่ส่วนใหญ่เปลี่ยนเจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  (หัวเราะ) มันสาวขึ้นรึไง

โยม  (หัวเราะกัน) ...มันแก่ มันโรยไปเจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  เห็นมั้ย ดูแล้วมันไม่สามารถจะเป็นอย่างที่เราอยากเห็นน่ะ

โยม –  ใช่ค่ะ ไม่สามารถค่ะ 

พระอาจารย์ –  ก็ใช่น่ะสิ ก็เขาจะเป็นอย่างนี้แล้วมีอะไรมั้ยล่ะ  


โยม –  แล้วสงสัยลูกคงคิดว่า...กลัวบาปมากเจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  ก็รู้ว่าคิด ก็รู้ว่ากลัว    

โยม  แล้วถ้าเกิดว่าเราอยากเป็นคนดี แต่เราคิดนี่ เราคิดในทางไม่ดีนี่ เราจะบาปมั้ยคะ ...มันชอบคิดแบบ "บาป" อะไรอย่างเนี้ยเจ้าค่ะ มันมีไอ้ตัวมาบอกว่า "เอ๊ย บาปนะๆ"  อะไรอย่างนี้

พระอาจารย์ –  ถ้าคิดว่าบาปก็บาป ถ้าไม่คิดว่าบาปก็ไม่บาป   

โยม (อีกคน) เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  ตราบใดถ้าเรายังไปผูกพันมั่นหมายกับสิ่งใดก็เป็นอย่างนั้นน่ะ ถ้าไม่อยากบาปก็ไม่ต้องคิด


โยม (อีกคน)   เราคิดเพราะไปจำมา...มันไปจำมา

พระอาจารย์ –  ...เห็นเราเอาแก้วมาวางตรงนี้มั้ย (เสียงวางของ) ...มันบาปรึเปล่า หรือมันเป็นบุญ ..เห็นป่าว 

โยม –  อ๋อ ... เราคิด  มันเป็นที่เราคิดหรอก

พระอาจารย์ –  หรือว่ามันผิด  

โยม  ไม่ผิด 

พระอาจารย์ –  แล้ววางอย่างนี้มันถูกรึเปล่า

โยม –  ไม่ถูกไม่ผิด

พระอาจารย์ –  เขาว่าอะไรมั้ยนี่

โยม –  แก้วจะไปว่าได้ไง 

พระอาจารย์ –  เราน่ะมันแส่ไปให้ค่าตามที่เราคิด  

โยม  มันคิดเยอะ

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ บุญบาปอยู่ที่ตรงนั้นแหละ ... แต่ความเป็นจริงนี่ก็คือความเป็นจริง เขาเป็นอะไรรึเปล่า 

เขาเป็นอาการ ...เป็นการปรุงแต่งของขันธ์ การรวมกัน แล้วก็ดำเนินเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป  ถามว่า...เขาเป็นบุญหรือเป็นบาป เขาถูกหรือเขาผิด เขาเป็นกลางๆ รึเปล่า


โยม –  เป็นอย่างที่เห็น 

พระอาจารย์ –  เขาเป็นของเขาอย่างนี้ใช่รึเปล่า(เสียงวางของ)   

โยม –  ใช่

พระอาจารย์ –  เขาไม่ได้ว่าเขาเป็นอะไรใช่มั้ย เราน่ะมันแส่ เราน่ะเข้าไปให้ค่า เราเข้าไปเป็นสุข เราเข้าไปเป็นทุกข์กับมัน...ด้วยความไม่รู้ ด้วยความจำ ด้วยความคิด 

มันจะเกิดความผูกพันขึ้นมา หมายมั่นขึ้นมา เป็นภพขึ้นมา ...เข้าใจคำว่า “ภพ” รึยัง...ไปตั้งอยู่ในความหมายมั่นยังไง เป็นสุข เป็นทุกข์...เกิดเวทนาขึ้นมา   


โยม  แล้วไอ้ที่เรากับไอ้ที่รู้ที่สติน่ะค่ะ  งั้นก็แสดงว่า เราก็ไม่มีสติ เพราะว่าเราเป็นเราตลอดเลยค่ะ...ตั้งตลอด

พระอาจารย์ –  อือ ก็รู้ไป มันเป็นยังไงก็รู้อย่างนั้น

โยม –  มันเป็นตลอดเลยค่ะ   

พระอาจารย์ –  ตลอดก็รู้ตลอด  

โยม –  อ๋อ เข้าใจมั่งแล้วเจ้าค่ะ 

พระอาจารย์ –  คือกลับมารู้ความเป็นจริง ...ไม่ว่าความเป็นจริงขั้นไหน เรารู้ยังไง...จริงหมดแหละ  เข้าใจรึเปล่า ...แม้จะรู้ว่าเป็นเราตลอดเวลา ก็จริง เข้าใจมั้ย ...ไม่ใช่รู้ยังไงไม่ให้เป็นเรา 

อันนี้เป็นของเรา อันนั้นเป็นธรรมของคนอื่น ไม่ใช่ธรรมของเรา ...ก็เรายังว่าเป็นเราอยู่อ่ะ ก็ยังยึดอยู่อ่ะ... ก็รู้ว่ายังยึดอยู่ เข้าใจมั้ย รู้เข้าไปเหอะ 

อย่าไปมองข้ามช็อทดิ อย่าไปเอาความจำ เอาความคิดเข้ามา ...แล้วว่าจะรู้ยังไงให้มันเป็นเหมือนที่เราจำมา ที่เราคิดได้ เข้าใจป่าว


โยม  เป็นของเราทำ เป็นของเรารู้ ไม่ใช่เอาแบบของคนอื่นมา

พระอาจารย์ –  หรือว่า...คาดว่า  เคยได้ยินได้ฟังมาว่า เขาจะต้องรู้อย่างนั้น แล้วเขามีความรู้สึกอย่างนี้เกิดขึ้น แล้วเราทำยังไงถึงจะให้รู้อย่างนั้น...ไม่ใช่อ่ะ 

ก็เรารู้อย่างนี้ ก็เป็นอย่างนี้น่ะ ..ก็มันรู้ทีไรก็มีอารมณ์ทุกที ดูทีไรก็มีอาการ (โยมหัวเราะ-ใช่เลย)...ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ ...ก็มันเป็นของจริง ใช่ป่าว มันเป็นของจริงของเรา ใช่ป่าว

โยม –  ใช่เจ้าค่ะ  รู้ตอนไหนก็มีอารมณ์ตลอด

พระอาจารย์ –  แต่เราปฏิเสธตลอด ปฏิเสธความจริงตลอด   

โยม –  รู้ตลอด แล้วก็ไม่ดีตลอด

พระอาจารย์ –  ไม่ดีก็ไม่ดีดิ

โยม  อ้าว

พระอาจารย์ –  ก็เขาบอกรึเปล่าว่าเขาไม่ดีอ่ะ เข้าใจมั้ย


โยม (อีกคน)  อ๋อ เราไปตีค่าว่าแบบนี้มันไม่ดี

พระอาจารย์ –  ใช่...ด้วยความจำ จำได้อย่างนี้    

โยม (อีกคน)   แต่จริงๆ แล้วมันก็เป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้น 

พระอาจารย์ –  คืออาการสักแต่ว่าอาการหนึ่งเท่านั้น 


โยม  ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขแล้วใช่ไหมเจ้าคะ   

พระอาจารย์ –  ไม่แก้ ไม่หนี 

โยม –  อยู่เฉยๆ รู้ไปๆ 

พระอาจารย์ –  ก็บอกแล้วไง ว่าเป็นยาม   

โยม –    ค่ะ

พระอาจารย์ –  แล้วก็จะเห็นว่ามันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกูเลย   

โยม  อย่างนี้ต้องใจสู้แล้วเจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  อือ เข้าใจคำว่าเด็ดเดี่ยว หนักแน่นมั้ย...ไม่หวั่นไหว 

ไม่ใช่เหมือนไม้หลักปักเลน คนพูดซ้ายก็หันขวา คนพูดขวาก็หันซ้าย อย่างเนี้ย  แล้วก็หวั่นไหวไปตามคำพูดหรือคนเขาแสดงอาการต่อหน้าเรา ให้เรามีความรู้สึกว่า 'เอ๊ะ ถูก' ... 'เอ๊ะ ผิด' 

มาตายอยู่แค่ถูกกับผิดนี่แหละ


โยม –  ใช่ เพราะว่าปกติเราก็..โลโก้ของเราคือ สวดมนต์ไหว้พระ อยากทำดีทำดี ...พอเราเกิดเหตุการณ์ซึ่งร้ายแรงนี่  

พระอาจารย์ –  อยากมีภาพของนักปฏิบัติที่ดี    

โยม –  ค่ะ ...แล้วเสร็จแล้วพอมีคนตำหนิน่ะ มันเหมือนผิดหวังมากเจ้าค่ะ ผิดหวังมากเลย 

พระอาจารย์ –  เสีย self  เสียความเป็นนักปฏิบัติหมด 

โยม  (หัวเราะ) ใช่เจ้าค่ะ  

พระอาจารย์ –  เสมือนเขาตี...เขาก็ตีถูกขนดหางน่ะ ตีถูกจุดอ่อน ที่เราตั้งค่าไว้ แค่นั้นเอง  

โยม –  เจ้าค่ะ  

พระอาจารย์ –  ไอ้ค่านั่นคือภพของนักปฏิบัติ ตัวตนที่ดีกว่าตัวตนของความเป็นจริง ... แล้วมันก็พยายามหนีตัวตนของความเป็นจริง เหมือนกับคว้าเงาน่ะ จับเท่าไหร่ก็ไม่เจอสักที ๆ ...ก็เงาอ่ะ 

แต่ตัวจริงนี่หนีตลอด เหมือนกับเราวิ่งไล่เหยียบเงา ไม่เห็นมันตายสักที หรือว่าคว้าจะเอามาเป็นสมบัติของตัวเอง ก็ไม่เคยได้สักที ...ปัญหาคือไอ้ตัวของเรานั่นแหละ

ต้องรู้อยู่ตรงนั้นแหละ อะไรเกิดขึ้นก็รู้อยู่ตรงนั้น  มันจะเป็นยังไงก็ช่าง ไม่เอาดีเอาชั่วมาเป็นตัวตัดสิน ไม่เอาถูกเอาผิดมาเป็นตัวตัดสิน ...เอาเป็นว่ามันปรากฏขึ้นตามความเป็นจริง เป็นปรากฏการณ์หนึ่งของจิต เป็นอาการหนึ่งของจิต  


โยม –  มันรู้สึกไม่ค่อยสบายตลอดฮ่ะ จิตไม่ค่อยสบายเจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  ก็รู้ว่าไม่สบาย ...แล้วก็รู้เข้าไปว่าเหตุของทุกข์จริงๆ มันอยู่ตรงไหน ...ดูเข้าไปเรื่อยๆ แล้วมันก็จะเห็นว่า เพราะเราอยากดี  

ดูไปดูมาแล้วมันจะเห็นเองแหละ ...เพราะความอยากกับความไม่อยาก..สองตัว แต่เราไม่เคยเห็น


โยม  มีแค่สองตัว 

พระอาจารย์ –  มีแค่สองตัว...ปัญหาหลัก  แต่เรามอง...อื๊อ มันอยู่ไหนวะ หามันไม่เจอ  เจอทีไรกูเจอแต่อารมณ์ 

โยม –  (หัวเราะ) เจอแต่อารมณ์ ใช่ค่ะ

โยม (อีกคน)   แต่หลวงพ่อเปรียบเทียบเรื่องยาม โยมว่ามันเห็นภาพเลยนะเจ้าคะ ...อย่างแค่สมมุติเราสมัครใจว่ามันก็คือหน้าที่หน้าที่หนึ่ง เราเป็นยามก็ทำหน้าที่ของเราไปเรื่อยๆ 

แต่เราเวลาพอเราเป็นยามปั๊บ มันจะมีคนมาดูถูกเรา ..เอ๊ย ทำไมเป็นแค่ยามต๊อกต๋อย  เราก็เลยคิดจะพัฒนาว่า เฮ้ย แล้วเป็นหัวหน้ายาม จากหัวหน้ายามต้องเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัย แล้วต้องขึ้นไปเป็นผู้จัดการ 

แล้วเราก็มีแต่ความทะยานอยากขึ้นไป แล้วเราก็ไม่ยอมกลับมาดูหน้าที่ที่เราควรทำน่ะเจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  อือ    


โยม (อีกคน)   ก็พอเอามาเปรียบเทียบกับทางโลกแล้วก็ใช่เลย ไอ้ความที่เราอยากๆ ...อยากที่จะให้คนอื่นยอมรับเราน่ะ     

พระอาจารย์ –  อยากดีอยากเด่น 

โยม (อีกคน)  เพียงแค่เรายอมรับว่า เฮ้ย ก็ชั้นพอใจแค่ชั้นได้ทำหน้าที่ชั้น ชั้นก็น่าจะพอแล้วล่ะ ...มันไม่พอไงเจ้าคะ มันก็เลยอยากเป็นผู้จัดการ อยากเป็นซีอีโอ

พระอาจารย์ –  ก็บอกแล้วไงบริษัทนี้ เขาไม่เคยบอกว่าเป็นของเรา ...บริษัทกายจำกัด บริษัทจิตจำกัด เขาเป็นมหาชน เขาเป็นของมหาชน ...โยมก็เป็นผู้ถือหุ้นแค่หนึ่งหุ้น แค่นั้นเอง แต่ไม่ใช่ของเรา 

เขาเป็นของสาธารณะ ของกลางน่ะ ...ก็ทำไม บทเขาจะล้มละลายขึ้นมานี่ เอาไม่อยู่หรอก ตายหมดไม่เหลือ ควบคุมไม่ได้ ...แค่หุ้นเดียวไปทำอะไรได้


โยม –  (หัวเราะ) ทำไม่ได้     

พระอาจารย์ –  พระพุทธเจ้าก็ให้มาเห็นตรงเนี้ย แล้วก็ยอมรับความเป็นจริงอันนี้ให้ได้ ...ไม่ได้ก็ต้องได้  

ดูเข้าไปจนกว่าจะยอมรับความจริงนี้ว่า มันไม่ใช่เรื่องของเราเลย ...แล้ว "เรา" ก็จะหมดความหมายไปเอง  เพราะไม่ใช่ "เรา" เข้าไปจัดการได้ 

มันเป็นของกลาง ...เกิดมานี่ กว่าจะมารู้ว่าเป็นผู้หญิงนี่กี่ขวบ  พอรู้แล้ว.. เลือกได้มั้ย เปลี่ยนได้มั้ย ...แล้วยังมาบอกว่าของเราได้ไง กำหนดเพศตัวเองยังไม่ได้เลย 

ก็ได้มาแล้วน่ะ...อ้าว กูเป็นผู้หญิงไปแล้วโว้ย ...อ้าว ทำไมกูเป็นผู้ชายวะเนี่ย  เห็นมั้ย เปลี่ยนได้ไหม ...นอกจากไม่ได้แล้วต้องอยู่กับมัน...จนกว่าบริษัทนี้ล้มละลายอ่ะ 

แล้วมาบอกว่าเป็นเจ้าของได้ยังไง  หน้าตาก็เป็นยังงี้ ผิวพรรณก็เป็นยังงี้   จะพอใจก็ตาม ไม่พอใจก็ตาม เปลี่ยนไม่ได้อ่ะ ...แล้วบอกเป็นของเรายังไง จะไปเป็นผู้จัดการอะไรกับมันล่ะ


โยม –  เป็นผู้จัดการ เป็นเจ้าของบริษัท เป็นเยอะด้วยเจ้าค่ะ (หัวเราะ)

พระอาจารย์ –  เออ นั่นแหละคือปัญหาของคนทั้งโลกน่ะ ...เพราะความเข้าใจผิด หรือว่ามิจฉาทิฏฐิ หรือความหลง เข้าใจมั้ย 

หลงเอาสิ่งที่ไม่เป็นของเรามาเป็นของเราน่ะ แล้วก็เอาของไม่ใช่ของเรานี่ไปทำเรื่องราวมากมายก่ายกอง พัวพันไปหมด วุ่นวี่วุ่นวาย แล้วก็ไปดึงเอาปัญหาต่างๆ นานา มาทับถม ...ก็เป็นเรื่องของเราไปหมด

หยุด...อยู่ในที่อันเดียว ที่รู้น่ะ ...หยุดอยู่ที่รู้นั่นแหละ  เข้าใจมั้ย  มันถึงจะหยุดได้  อะไรเกิดขึ้น...รู้ นี่มันหยุดแล้ว ...มีอะไรก็รู้ ๆ  รู้โง่ๆ 

ไม่ได้รู้อะไรหรอก รู้ในสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า นั่นแหละ รู้ไปเหอะ รู้โง่ๆ ...ไม่ต้องรู้เกินนี้หรอก

มันไม่ดีก็รู้ว่า เออ มันไม่ดี ไม่ต้องไปคิดต่อว่า ..จะดียังไงวะ อย่างเนี้ย ไอ้นี่รู้เกิน รู้เกินจริง เข้าใจมั้ย เข้าใจคำว่าเกินจริงมั้ย


โยม  เกินจริง

พระอาจารย์ –  เกินจริงในปัจจุบัน ...ถ้าออกนอกปัจจุบันเมื่อไหร่นี่ สับสนวุ่นวาย ลังเลสงสัย  ไม่รู้จักพอ ได้คืบเอาศอก ได้ศอกเอาวา ได้วาเอาโยชน์ ได้โยชน์เอาไม่รู้จักประมาณน่ะ 

ถ้าออกนอกรู้นี้ ปัจจุบันตรงนี้ มันไม่มีคำว่าหยุดหรอก ...ต้องตัดอกตัดใจ เด็ดเดี่ยวอยู่ในปัจจุบัน ตายเป็นตาย เข้าใจมั้ย มันจะแย่จะตายกับอารมณ์ตรงนี้ก็อยู่กับมัน

พระพุทธเจ้าบอกว่าทุกข์ให้กำหนดรู้น่ะ ท่านไม่ได้บอกให้แก้ ท่านไม่ได้บอกให้หนี ท่านไม่เคยบอกเลยนะว่าให้ดับทุกข์ ...ท่านบอกให้รู้ทุกข์ตามความเป็นจริง

ไอ้ที่ให้ดับน่ะไม่ยอมดับ...ตัณหา อุปาทาน...ไม่ดับ ความอยากกับความไม่อยาก  ยังไม่เคยเห็นเลย ...ถ้าเห็นหนูก็จะดับค่ะ แต่หนูไม่เห็นค่ะ


โยม – (หัวเราะ) ไม่เห็น ... มันอยู่ตลอดน่ะค่ะ  

พระอาจารย์ –  ก็เราไปใส่ใจอยู่กับมันนี่   

โยม –  ใช่เจ้าค่ะ ใส่ใจ 

พระอาจารย์ –  ไปวิ่ง ไปจริงจังกับมัน ในสิ่งที่มันไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าจะจริงจัง ...แต่ตอนนี้เรายังเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ

ดูไปดูมา ต่อไปก็จะเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่มีสาระ ...ใครจะว่าดูดี ใครจะว่าผิด ใครจะว่าถูก ใครจะว่าทำแล้วไม่ได้ผล 'เรื่องของกู..มึงเกี่ยวอะไร จิตของกู'  


โยม (อีกคน)   นี่ก็ได้ผลมาเยอะแล้วเจ้าค่ะ เจอภาพเขาตอนแรก (พูดถึงโยมที่ถามปัญหา โดยทำเสียงพูดช้าๆ เนิบนาบเป็นตัวอย่าง) 

"...สวัสดีค่ะ เชิญข้างในก่อน นั่งตรงนี้นะ น้องมีบทสวดมนต์...มีรึยัง" ...อย่างนี้เลยเจ้าค่ะ ...ไว้ผมยาว นุ่งผ้าซิ่นเรียบร้อย ใส่ที่คาดผม แล้วก็พูดอะไรช้าๆ 

ตั้งแต่โยมเอาซีดีพระอาจารย์ปราโมทย์ให้ฟัง มาอีกทีนึง แต่งหน้าแต่งตา อุ๊ย เริงร่าๆ ...เออ จำไม่ได้เลย ..หนูว่านี่เขาก็ดีขึ้นมาเยอะแล้วค่ะ ดูเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาเยอะเลย   จริงๆ


โยม –  แต่มีปัญหาตรงอยากดี มันนึกไม่ถึง...มันลืมไป

พระอาจารย์ –  อัตตามันมีอยู่สามตัว  ตัวนึงคือตัวที่เราอยากจะเป็น..มีใช่มั้ย  ตัวที่สอง..ตัวที่คนอื่นเขาอยากให้เราเป็น (โยม – โอ ใช่) ...ตัวที่สามคือตัวที่เราเป็น..ตัวเป็นๆ ตัวตนจริงๆ น่ะ

เพราะนั้น เราจะใช้อยู่สองอัตตาแรก คือตัวที่เราอยากจะเป็น กับตัวที่เขาว่าน่าจะเป็น ...แต่ตัวตนจริงๆ น่ะ หนีลูกเดียว กูไม่ยอมรับ

สติจะต้องมาอยู่กับอัตตาตัวจริง คือตัวเป็นๆ น่ะ ตัวของเรานั่นแหละ เป็นยังไงก็เป็นยังงั้น ใครจะว่าดีก็เรื่องของคนว่า ใครเขาว่าไม่ดีก็เรื่องของคนว่า ...แต่เราเป็นยังไงคือเป็นยังงั้น ...และต้องรู้อยู่ตรงนั้นแหละ แก้ต้องแก้ตรงนั้น 

ไอ้อัตตาสองอัตตาแรกน่ะ มันจะพาให้ลุ่มหลงมัวเมา แล้วหาตัวตนที่แท้จริงไม่เจอ แล้วมันก็จะมาหลอกตัวเองอยู่ตลอดว่า "ตัวนี้ไม่ดีนะ ตัวเราไม่ดีนะ ตัวเราไม่ดีนะ"

ถ้าอยากจะแก้ตัวไม่ดี...ต้องอยู่กับตัวไม่ดีนั่นแหละ คือตัวจริง...ตัวตนที่แท้จริง ...ถ้าไม่ยอมรับตัวตนที่แท้จริง พยายามสร้างตัวอื่นมาทดแทนหรือมาปกปิดน่ะ มันก็เหมือนโง่ซ้ำซาก 

ตัวเองหลอกตัวเองไม่พอ ให้คนอื่นเขามาหลอกอีก เอาความเห็นอย่างนั้นมาหลอก เอาคัมภีร์นั้นมาหลอก เอาคำว่ากล่าวครูบาอาจารย์มาหลอก ก็กลัวไปหมด ไม่กล้าทำอะไร 

กลัวเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง...ปกปิดตัวตนสุดฤทธิ์สุดเดช    .


 (ต่อแทร็ก 2/12)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น